วันพฤหัสบดีที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2551

จับเรื่องเล่าเอามาเรียง...จากเชียงตุง (๔)

...แผนผังโดยสังเขปของเมืองเชียงตุง ตามที่ปรากฏในหนังสือของ อ.อรุณรัตน์ วิเชียรเขียว credit ทั้งเจ้าของหนังสือและผู้scan อยู่ในรูปแล้ว ขอขอบพระคุณไว้ ณ โอกาสนี้...


"...กินข้าวแล้วลืมตอเฟือง...
....นั่งเมืองแล้วลืมตูทั้งหลาย..."

.
...ความที่คัดมาข้างต้นนี้ เป็นถ้อยคำตัดพ้อต่อว่าเจ้าเมืองที่เสวยอำนาจแล้วลืมคุณผู้อุปถัมภ์ค้ำจุนในตำนานการเกิดขึ้นของเมืองเชียงตุงก่อนจะมีคำว่าเชียงตุงให้ใช้...เรื่องนั้นมีอยู่ว่า...

...เดิมทีนั้นเชียงตุงมิได้ใช้ชื่อนี้มาแต่แรก "ประจันตคาม" หรือ "จัณฑคาม" คือชื่อเดิมของดินแดนแห่งนี้ ตั้งแต่สมัยที่สัตว์กับคนนั้นยังสามารถคุยกันรู้เรื่อง มีผู้คนมากมายอาศัยอยู่เป็นเมืองใหญ่ มีเจ้านายนั่งเมืองมายาวนาน จนกระทั่งสมัยหนึ่ง มีนายโคบาลหรือคนเลี้ยงวัวคนหนึ่งได้มีโอกาสเป็นเจ้าเมือง เนื่องจากเจ้าเมืององค์ก่อนนั้นสิ้นพระชนม์โดยที่ไม่มีผู้สืบราชสมบัติ เหตุที่ชายเลี้ยงวัวผู้นั้นได้เสวยราชสมบัตินั้นเป็นเพราะ เขาเคยเลี้ยงกาฝูงหนึ่งด้วยอาหารของเขาเองในระหว่างการเลี้ยงวัว เพราะสงสารที่กาฝูงนั้นไม่มีอาหารจะกิน...
.

...เมื่อกาฝูงนั้นรู้ข่าวว่าเจ้าเมืองจัณฑคามสิ้นพระชนม์ ก็คิดตอบแทนคุณข้าวคุณน้ำของชายเลี้ยงวัว จึงตกลงกันจะช่วยให้เขาได้เป็นเจ้าเมือง ดังนั้นแล้วจึงไปตกลงกับชายเลี้ยงวัวว่าฝูงกานี้จะช่วยให้เขาได้เป็นเจ้าเมือง แต่ขอให้มีข้อแลกเปลี่ยนว่า ทุกๆปี เขาจะต้องเสียควายหนึ่งตัวเป็นอาหารให้กับฝูงกา นายโคบาลนั้นก็รับปากด้วยดี ฝูงกาจึงออกอุบายให้ชายเลี้ยงวัวนั่งอยู่ในกรงไม้แล้วพากันคาบหอบกรงไม้นั้น บินเข้าไปในปราสาทของเจ้าเมืองในเวลากลางคืน รุ่งขึ้น บรรดาเสวกามาตย์ต่างพบว่านายโคบาลนั้นอยู่ในปราสาท จึงคิดว่าเป็นผู้มีบุญญาธิการมาครองเมือง จึงพร้อมใจกันยกให้นายโคบาลนั้นเป็นเจ้าเมืองในเวลาต่อมา... .

.

...เวลาผ่านไปไม่นาน นายโคบาลนั้นก็ลืมสัจจะสัญญาที่ให้ไว้แก่ฝูงกา ฝูงกาจึงคิดเอานายโคบาลนั้นออกจากราชสมบัติ โดยทำอุบายว่าจะพานายโคบาลนั้นไปเป็นพระราชาในเมืองที่ใหญ่กว่า มีทรัพย์สมบัติมากกว่านี้ เมื่อนายโคบาลทราบดังนั้นก็ตัดสินใจว่าจะไปตามที่ฝูงกาเสนอด้วยความโลภ ที่สุดแล้วฝูงกาก็นำนายโคบาลนั้นไปปล่อยบนเกาะร้างแห่งหนึ่ง พร้อมสาปแช่งไว้ให้เมืองจัณฑคามนั้นล่มลงกลายเป็นหนองน้ำ แต่ภายหน้าจะกลับมารุ่งเรืองเป็นเมืองอีกครั้ง ใครก็ตามที่มาเป็นเจ้าเมือง หากลืมบุญคุณของมิตรสหาย เป็นผู้ไม่รักษาสัญญาแล้วก็ขอให้พบกับความวิบัติพลัดพรากอย่างที่นายโคบาลเป็นอยู่นี้ แล้วก็พากันบินจากไป หลังจากนั้นจึงเกิดฝนตกหนักถึง 7 วัน 7 คืน และน้ำนั้นได้ไหลท่วมเมืองจนหมดสิ้น ชาวเมืองที่รอดตายก็พากันอพยพไปอยู่ตามเทือกดอยต่างๆ และไม่มีใครได้กลับมาอีก คนเลี้ยงวัวนั้นก็ตรอมใจตาย แต่ดวงใจยังอาลัยในราชสมบัติเมืองจัณฑคามอยู่ ด้วยความหลงนั้นเองชักพาดวงวิญญาณให้เข้าไปเกิดเป็นพญาปูคำ (ปูเหลือง) เฝ้าเมืองที่ล่มสลายไปดังกล่าว

.

...ชะตากรรมของเมืองจัณฑคามนั้น สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อ หรือคติในการควบคุมให้ผู้มีอำนาจนั้นต้องปฏิบัติตนอยู่ในกรอบศีลธรรมและจริยธรรมอย่างเข้มงวด หาไม่แล้ว ความพินาศล่มจมจะไม่เกิดขึ้นกับตนเองเท่านั้น หากยังทำให้คนหมู่มากพลอยได้รับผลกระทบนั้นตามไปด้วย ซึ่งความคิดทำนองนี้ก็ยังคงปรากฏเป็นจริงอยู่ในปัจจุบัน เพียงแต่ว่า บางคนเขาไม่รู้สึกรู้สมด้วยก็เท่านั้นเอง...

.

...ตามตำนานนั้นกล่าวว่า เมื่อถึงสมัยพระพุทธเจ้าของเรา พระองค์เสด็จเลียบโลกเพื่อโปรดสัตว์ในพื้นที่ต่างๆ เมื่อเสด็จมาถึงหนองน้ำใหญ่จัณฑคาม ได้ทรงมีพุทธฎีกาพยากรณ์ว่า หนองน้ำนี้ต่อไปจะกลับกลายเป็นเมืองอีกครั้งชื่อว่าเมืองนามจัน โดยมีฤๅษีตนหนึ่งมาไขน้ำออกจากหนองนี้ แล้วจะมีคนมาสร้างบ้านแปงเมืองอยู่ต่อไป (เป็นเหตุว่าทำไม่รัฐบาลพม่าจึงสร้างพระพุทธรูปใหญ่ขึ้นบนดอยจอมสัก แล้วชี้พระหัตถ์มาทางหนองตุง คล้ายกับพระพุทธรูปยืนปางพุทธพยากรณ์ที่เขามัณฑะเลย์ ต่างกันแต่ว่า ที่เชียงตุงนี่ไม่มีรูปพระอานนท์...พระพุทธพยากรณ์นี้เป็นที่หมายแรกๆ ในการเดินทางรอบเมือง ซึ่งจะเล่าเสริมในภายหลังครับ)

.


...พระพุทธพยากรณ์บนดอยจอมสัก...

...จากนั้นอีกนาน จึงมีฤๅษีตนหนึ่ง เคยเป็นราชบุตรพระเจ้ากรุงจีน หรือเจ้าฟ้าเมืองว้องในตำนานเชียงตุง ชื่อว่าตุงครสี หรือตุงคฤๅษี (คำว่า"รสี" ก็คือพระฤๅษีนั่นเอง) ใช้ไม้เท้าขุดทางไขน้ำออกจากหนอง ชาวฮ่อแข่ยูนนานที่ติดตามฤๅษีมาก็ต่างสร้างชุมชนขึ้นเป็นเมืองอีกครั้งหนึ่ง เวลาผ่านไปอีกเล็กน้อย ซึ่งไม่ทราบว่านานเท่าไร ชาวฮ่อแข่ยูนนานเหล่านั้นก็ทิ้งเมืองไปอีกเนื่องจากโรคระบาด ทิ้งน้ำเต้าที่ปลูกไว้ในเขตบ้านเรือนตนให้เติบโตขึ้น จนกระทั่งผลน้ำเต้านั้นแก่และแตกออกกลายเป็นผู้คนอาศัยอยู่ในเมืองนามจันนั้นสืบมา แต่คนมักเรียกชื่อเมืองนั้นว่า "เชียงตุง" ตามชื่อตุงครสีผู้นำการสร้างเมืองมากกว่า...

.

...ตามตำนานข้อนี้ น่าเชื่อว่า คนไทขึน/เขิน ที่อาศัยอยู่ในเชียงตุงนั้นเชื่อว่ากำเนิดของคนนั้นมาจากผลน้ำเต้า และข้อเท็จจริงของการเกิดชุมชนในพื้นที่ที่เรียกว่าเชียงตุงนั้น น่าจะเกิดจากการอพยพมาของคนจีนในยูนนานผสมกับคนพื้นเมืองในแถบนั้น ซึ่งในที่สุดก็กลายเป็นพื้นที่ของคนพื้นเมืองไปโดยปริยาย...

วันพุธที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2551

จับเรื่องเล่าเอามาเรียง...จากเชียงตุง (๓)


...จากจุดนี้ เหลืออีกประมาณ 30 กิโลเมตร จะถึงตัวเมืองเชียงตุง...
.
รถตู้ของชาวคณะเรา (รวมสองคัน) แล่นไปบนถนนเล็กๆ ความยาวตลอดสายจนถึงเชียงตุงรวม 165 กิโลเมตร ซึ่งมีการพัฒนาขึ้นจากเส้นทางที่คนสมัยก่อนใช้สำหรับเดินทางติดต่อค้าขายระหว่างเมืองต่างๆ ซึ่งการค้าตามเส้นทางนี้มีมูลค่าสูงมากจนได้รับการขนานนามว่าเป็น “เส้นทางสายทองคำ” ทั้งการค้าต่างหลังม้า หลังลา หลังฬ่อ หรือแม้กระทั่งการค้าทางบกแบบเล็กๆ น้อยๆ ในปัจจุบัน ตามประวัติมีอยู่ว่าถนนสายนี้มีการพัฒนาอย่างสำคัญเมื่อช่วง พ.ศ.2485 เพื่อรองรับการเดินทัพของกองทัพพายัพขึ้นไปยังเชียงตุง และอีกครั้งหนึ่งเมื่อ พ.ศ.2542 เพื่อเหตุผลทางเศรษฐกิจในการค้าทางบกระหว่าง จีน พม่า และไทย
.

...คนที่นี่ทำนาหน้าบ้านได้เลย...

ถนนสายนี้ตัดผ่านหมู่บ้านและชุมชนน้อยใหญ่รายทาง สลับกับทุ่งนาและป่าเขา ชาวบ้านที่อาศัยอยู่ตามชุมชนเหล่านั้นทั้งคนไต คนลื้อ คนเขิน คนหลอย (คนดอย) คนอาข่า คนปะหล่อง ทั้งคนพม่าต่างก็มักจะหยุดการทำงานแล้วมองขบวนเล็กๆ ของชาวคณะเราเป็นระยะๆ ราวกับว่าการมาของนักทัศนาจรนั้นเป็นปรากฏการณ์ที่นานทีปีหนจะเวียนวนมาให้เห็นสักครั้งหนึ่ง เนื่องจากการเดินทางในวันหยุดของเราตรงกับวันธรรมดาของที่นั่น เราจึงเห็นทั้งชาวนาชาวไร่ ข้าราชการ ทหาร และหมู่ของนักเรียนที่เดินกลับบ้านเพื่อไปกินมื้อเที่ยงด้วยชุดนักเรียนเสื้อขาวโสร่งหรือซิ่นสีเขียว บางคนก็แอบสวมกางเกงยีนไว้ข้างใน แต่ที่แน่ๆ ผู้คนตามรายทางเหล่านั้น โดยเฉพาะผู้ใหญ่ ส่วนมากประแป้งทานาคาจนหน้านวล และเคี้ยวหมากจนปากแดง



...รถจ้างเหมาคันหนึ่งที่เราเจอ ณ ด่านแรก หลังจากออกจากท่าขี้เหล็ก...
.
คุณพี่ท่านหนึ่งในคณะของเรากล่าวว่า เขาว่ากันว่า กว่าจะถึงเชียงตุงได้นั้นต้องผ่านด่านน้อยใหญ่รวมแล้ว 11 ด่าน แต่จากข้อมูลในหนังสือ “วิถีไทเขิน เชียงตุง” บอกกับเราว่า ด่านที่รถทุกคันต้องแวะมีทั้งสิ้น 8 ด่าน (ซึ่งเราต้องชำระค่าผ่านทางทุกด่าน) ได้แก่
1. ด่านมะยางโหลง
2. ด่านนักสืบบ้านท่าเดื่อ (ทำนองว่าเป็นสันติบาล แต่พี่หลุยของเราใช้คำเรียกว่า ด่านทหารสายลับ ซึ่งฟังดูน่ารักเกินกว่าที่จะใช้เรียกหน่วยราชการ)
3. ด่านปางค้าน้อย
4. ด่านเมืองพยาก (ตามหนังสือว่ามี 4 ห้อง ต้องจ่ายเงินทุกห้อง)
5. ด่านนักสืบเมืองพยาก
6. ด่านเก็บเงินแบบด่านทางด่วนบ้านเรา
7. ด่านหนองโนน (ใกล้น้ำพุร้อน - - น่าจะเป็นด่านเก็บเงินแบบด่านทางด่วนอีกแห่งหนึ่งที่ใกล้ๆ กันนั้นมีป้ายยินดีต้อนรับสู่เชียงตุง ในหนังสือบอกว่าต้องลงรถแล้วเดินตามรถผ่านด่านไปแล้วค่อยไปขึ้นรถอีกที ซึ่งตลอดเส้นทางนั้น ไม่มีจุดไหนเลยที่เราต้องลงรถแล้วไปขึ้นรถอีกครั้ง)
8. ด่านมาทาท่า ก่อนเข้าเมืองเชียงตุง มีทั้งด่านตรวจคน ตรวจรถ และล้างรถก่อนเข้าเมือง (พี่หลุยให้ข้อมูลแก่ชาวคณะเราว่า รถที่จะเข้าเมืองนั้นจะต้องถูกล้างให้สะอาดก่อน ไม่เช่นนั้นจะต้องจ่ายค่าปรับให้กับทางการ)


...บ้านบางหลังระหว่างทาง...

เรามาถึงเชียงตุงแบบสบายๆ ราวเที่ยงครึ่ง ผ่านอาคารสถานที่ราชการจำนวนมาก ราวกับว่าเมืองทั้งเมืองเป็นศูนย์ราชการ พี่หลุยบอกว่า อย่าเที่ยวยกกล้องขึ้นถ่ายรูปสุ่มสี่สุ่มห้า เพราะที่เมืองพม่านี้ไม่ชอบให้ใครถ่ายรูปสถานที่ราชการ ทหารจับได้แล้วเรื่องยาว การเที่ยวนั้นจะกร่อยเสียเปล่าๆ เลยได้ข้อสรุปของตัวเองว่า เที่ยวในเมืองแบบนี้ ดูได้ทุกอย่าง แต่เก็บได้แต่สิ่งที่เขาอยากให้เก็บเท่านั้น ถ้าอยากเดินทางอย่างมีความสุข...

.

วันเสาร์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

...เราควรจะหงุดหงิดหรือไม่?...

ระยะหลายวันมานี้มีเรื่องรบกวนจิตใจนิดหน่อย...ถึงมากๆ

ซึ่งนั่นก็คือ เราควรจะหงุดหงิดหรือไม่? กับความตายของมนุษย์จำนวนหนึ่งซึ่งรัฐบาลไม่สามารถหาคำตอบได้ ว่าเป็นฝีมือของใคร และ "รัฐ" ในฐานะที่ต้องสร้างหลักประกันความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน จะแสดงความรับผิดชอบกับสิ่งเหล่านี้อย่างไร หลายวันมานี้การลงไม้ลงมือกันเพียงเพราะ "คนละสี" จนเลือดตกยางออก บ้างก็ถึงขั้นเสียชีวิต โดยที่เจ้าหน้าที่ของรัฐยังไม่สามารถทำอะไรเพื่อให้ความกระจ่างในข้อสงสัยของคนที่ "ไม่เหลือง ไม่แดง" เกี่ยวกับการบาดเจ็บล้มตายเหล่านั้น

เป็นไปได้ไหมว่าเราควรหงุดหงิดกับรัฐบาล?...อันเนื่องมาจากการบุกยึดสถานที่ราชการ ท่าอากาศยานนานาชาติและอื่นๆ โดยกลุ่มชนที่มีอารมรณ์คุกรุ่นเพื่อต้องการความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองโดยที่รัฐบาลไม่สามารถทำอะไรได้มากกว่าการถอย (เพราะไม่สามารถใช้ไม้แข็งแบบวันที่ 7 ต.ค. ที่ผ่านมาได้อีก เพราะต้นทุนสูงเหลือเกิน...) ทั้งที่ผู้นำรัฐบาลสามารถเปิดอกคุยกับแกนนำผู้ชุมนุมได้ แต่ก็เลือกที่จะไม่ทำตั้งแต่ต้น จนกระทั่งเรื่องราวมันเลยเถิดไปขนาดนี้...

หรือเราควรจะหงุดหงิดกับผู้ชุมนุมดี?...เหมือนกับอารมณ์ของ SMS ตามหน้าจอโทรทัศน์นับตั้งแต่วันก่อน...รวมทั้งพลังแดง พลังขาว พลังเขียว พลังส้ม และพลังสีอื่นๆ ในสังคมนี้ หรือแนวร่วมสีเหลืองเองที่เคยหงุดหงิดกับแนวร่วมสีแดงในเชียงรายที่ปิดทางเข้าออกท่าอากาศยานเชียงรายเมื่อสองสามเดือนก่อน ตอนนั้นก็มีคนไม่น้อยหัวเสียกับการกระทำของแนวร่วมสีแดง ซึ่งมาวันนี้ฝ่ายเหลืองเอาบ้าง คนที่เคยเชียร์สีเหลืองก็เปลี่ยนใจไม่เชียร์เสียแล้ว เหมือนเพื่อนร่วมก๊วนข้าวเที่ยงกล่าวขึ้นมาลอยๆ เมื่อวานนี้ว่า "...เราเลิกเชียร์แล้วล่ะ มันเกินไป..."
ล่าสุดเมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมา เพื่อนร่วมงานที่นั่งโต๊ะไม่ห่างกันเท่าไรนักส่งเสียงเตือนขณะที่ผมกำลังเปิดวิทยุเพื่อฟังความเคลื่อนไหวของการชุมนุมว่า ..."...ช่วยเบาเสียงวิทยุลงนิดนึงได้ไหม? ไม่อยากได้ยินเสียงการชุมนุม เพราะพวกนี้ดูหมิ่นสถาบัน ฯลฯ..." ซึ่งผมเองก็พยายามไม่ให้มันดังอยู่แล้ว แต่กลายเป็นว่าเสียงข่าวที่แว่วออกไปนั้น แม้เพียงน้อยนิดก็เป็นเหมือนมลพิษที่มีมวลมหาศาลทีเดียว อารมณ์ของคนในสังคมเวลานี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กลุ่มที่บอกว่า "...อย่ามาเหมานะ...ชั้นไม่ใช่แดง...และก็ไม่ใช่เหลืองด้วย..." คือคนทั่วๆ ไปที่ต้องการเห็นการเมืองที่สงบสมานฉันท์ ทุกคนสามัคคี ฯลฯ (ซึ่งการเมืองที่ไหนๆ ในโลกไม่เคยอยู่ในภาวะที่ว่านั้นเลย) แกว่งไปหาความไม่พึงพอใจที่มีต่อกลุ่มผู้ชุมนุม และดูเหมือนว่าจะค้างอยู่ที่นั้นจนไม่แกว่งไปที่ไหนอีก
...เราควรจะหงุดหงิดกับสถาบันทหาร...กระนั้นฤๅ?...เหมือนกับที่กลุ่มผู้ชุมนุมกำลังหงุดหงิดกับท่าทีที่ไม่ซ้ายไม่ขวา ท่องคาถาอยู่กับที่ ว่า..."ไม่ปฏิวัติ ...ไม่ยึดอำนาจ...ไม่เคลื่อนไหว"...ของผู้นำเหล่าทัพ ซึ่งอันที่จริงก็น่าเห็นใจท่านๆ เหล่านั้น เนื่องจากต้นทุนและเดิมพันของทหารนั้นสูงมาก มากเสียจนทำให้ท่านเหล่านั้นไม่อาจเสี่ยงปฏิบัติการเหมือนที่สถาบันนี้เคยทำมาก่อน ไหนจะนักการเมือง ไหนจะมวลชน ไหนจะชื่อเสียงเกียรติภูมิของประเทศ คิดแล้วได้ไม่คุ้มเสีย และไม่อาจวางใจในคู่กรณีในความขัดแย้งครั้งนี้ได้ทั้งคู่ การตั้งรับในที่มั่นอาจดูเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในยามนี้

...หงุดหงิดกับคุณทักษิณและพลพรรคของเขาดีไหม?...หลายคนในโลกใบนี้พยายามชี้ประเด็นว่าคุณทักษิณ รวมทั้งเครือญาติ เครือข่าย ลูกน้อง ลูกพรรค ฯลฯ ของเขานั้นเป็นต้นเหตุแห่งความวุ่นวายในวันนี้ ตั้งแต่ทุจริตเชิงนโยบาย ใช้ช่องว่างของกฎหมายเพื่อประโยชน์ทับซ้อน ทำลายกลไกถ่วงดุลและตรวจสอบทั้งทางสภาและองค์กรอิสระ หลบเลี่ยงการบังคับทางกฎหมาย ว่าการหลังม่านผ่านนอมินี และแฟมิลี่ เรื่อยไปจนกระทั่งข้อหาทรราชย์และมุ่งร้ายต่อสถาบัน ...แต่อย่าลืมว่า ผู้คนส่วนมากมักสนใจแต่เรื่องเฉพาะหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องเฉพาะหน้าที่มีการเผยแพร่ผ่านทางสื่อสารมวลชนแบบ real time แล้วตัดตอนของความสนใจระยะสั้นๆ ความสนใจที่มีต่อสิ่งที่คุณทักษิณและพรรคพวกของเขากระทำสะสมเอาไว้ในอดีตจึงมีไม่มากนัก

...แล้วหงุดหงิดกับสื่อล่ะ?...สื่อจำนวนมากพยายามช่วงทำหน้าที่ในการนำเสนอข้อมูลข่าวสาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งสื่อโทรทัศน์ ที่ต้องการนำเสนอภาพสดๆ ของเหตุการณ์ แล้วคนบ้านเราสมัยนี้ก็ชอบที่จะดูโทรทัศน์เพื่อติดตามสถานการณ์ อารมณ์ของผู้ชมก็ผันแปรไปตามภาพข่าวที่ออกสื่อมาให้เห็น อย่าลืมว่าเวลาในจอแก้วนั้นมีราคาแพงกว่าเวลาในนาฬิกาของเราๆ ท่านๆ อักโข การตัดภาพข่าวออกมาจึงต้องเน้นภาพที่มี "พลังสะเทือน" หรือ IMPACT สูง ซึ่งหารายงานพิเศษประเภท "เคียงข่าว" (ซึ่งหมายถึงข้อเท็จจริงที่เกี่ยวกับเหตุการณ์ที่รายงานเข้ามาตามลำดับเหตุการณ์) ได้น้อยเหลือเกิน นอกจากนี้ รายการบันเทิงต่างๆ ยังคงมีให้เลือกบริโภคมากกว่ารายการเชิงสาระ มิพักต้องพูดถึงวิทยุ ทั้งชุมชน และไม่ชุมชน และหนังสือพิมพ์ต่างๆ ซึ่งมีฝักฝ่ายและเลือกข้างชัดเจน ทั้งนี้ให้ผู้เสพสื่อเลือกบริโภคกันตามความสนใจและข้อจำกัดของแต่ละคน

...หรือเรา...ควรจะหงุดหงิดกับตัวเอง...
...หงุดหงิดที่เสพข่าวสารมากเกินไป...
...หงุดหงิดที่ไม่ดูข่าวสารให้รอบด้าน...
...หงุดหงิดที่เสพข่าวสารไม่เป็น...
...หงุดหงิดที่ไม่เลือกข้าง...
...หงุดหงิดเพราะใครสักคนรอบตัวเราเลือกข้าง...ที่เราไม่ชอบ...
...หรือหงุดหงิดที่ปล่อยให้ "คนน่าละอายหลายจำพวก" (หากอยากรู้ว่าพวกนี้เป็นใคร โปรดอ่านเนชั่นสุดสัปดาห์ ฉบับล่าสุด) เดินเข้าสภามาชูคอกันสลอนจนได้ ทั้งๆ ที่รู้ว่ากฎหมายก็มีอยู่ คนปฏิบัติตามกฎหมายก็มีอยู่ การศึกษาของคนเราก็ไม่ใช่น้อย คนมีข้อมูลก็มีอยู่มากมาย ฯลฯ
...หากจะหายหงุดหงิด ก็คงต้องหาเหตุแห่งความหงุดหงิดนั้นให้ได้เสียก่อนกระมัง....

วันศุกร์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

จับเรื่องเล่าเอามาเรียง...จากเชียงตุง (๒)

ทัศนียภาพรายทางที่เก็บมาได้ระหว่างอยู่บนรถ จนใจว่าไม่สามารถบอกให้คนขับหยุดได้ เกรงใจสมาชิกผู้ร่วมทาง เลยต้องยื่นมือออกไปเก็บภาพแทน ภาพจึงดูเบลอๆ อยู่บ้าง



เราออกจากด่านแล้วแวะรับน้ำดื่มและขนมสำหรับดื่มและกินระหว่างทางที่ร้านโชห่วยแห่งหนึ่งในตลาดท่าล้อ ที่ซึ่งชาวเรามักข้ามฝั่งไปซื้อหาสินค้านานาชนิดอยู่บ่อยครั้ง ก่อนนั่งรถไปตามถนนที่ผ่านการใช้งานอย่างสมบุกสมบันมายาวนาน ออกจากตัวเมืองท่าขี้เหล็ก ซึ่งพี่หลุยบอกกับเราว่า เพิ่งยกฐานะเป็นจังหวัดหนึ่งของรัฐฉานตะวันออกได้ไม่นานมานี้ เพราะเป็นพื้นที่หนึ่งซึ่งมีเงินหมุนเวียนอยู่มาก ชาวคณะเราต่างส่งสายตาออกไปภายนอก เพราะไม่ใคร่จะมีใครได้ออกมาไกลกว่าตลาดท่าล้อ ก็พากันตื่นตาตื่นใจกับสิ่งที่เห็นภายนอก ทั้งตลาด ผู้คน อาคารบ้านเรือน วัดวาอาราม ท่ารถ และสนามบิน ซึ่งใช้สำหรับเดินทางภายในประเทศทั้งสิ้น
.
มองๆ ดูแล้ว บ้านเมืองตามรายทางนั้นก็คล้ายๆ กับอำเภอรอบนอกของเชียงรายนี่เอง มีถนนหลักขนาดความกว้างสองช่องจราจร ซึ่งนานๆ ครั้งจะมีรถขับสวนมา พ้นจากตลาดท่าล้อแล้วก็ไม่มีตึกสูงเลย อย่างดีก็เป็นบ้านสองถึงสามชั้น บางหลังเป็นตึกครึ่งไม้ บางหลังเป็นบ้านตึกอย่างดีสีสันสดใส เราเริ่มสัมผัสได้ถึงบรรยากาศ วิถีชีวิตแบบเรียบง่ายของชาวบ้านร้านถิ่น เสียงของพี่หลุยแว่วมาว่า เวลาในประเทศพม่าจะช้ากว่าเมืองไทยราวสามสิบนาที แต่เราไม่จำเป็นต้องปรับนาฬิกาตาม เพราะเราจะนัดหมายกันเป็นเวลาประเทศไทย.....ทำให้ตัวผมเองเริ่มรู้สึกว่า นาฬิกาของเรากับนาฬิกาของคนที่นั่นเดินไม่เหมือนกัน
.
นาฬิกาของเรานั้นเดินเป็นวงกลม ที่หมุนเร็ว และเดินซ้ำไปซ้ำมาบนรอยเดิม เริ่มต้นแต่ละวันด้วยความรีบเร่ง และไม่ได้ใส่ใจรายละเอียดในการดำเนินชีวิตมากนัก สักแต่ว่าทำกิจวัตรประจำวันให้เสร็จๆ ไป ระหว่างวันก็วุ่นวนอยู่กับกิจการงานในหน้าที่บ้าง เสียเวลาไปกับเรื่องไม่เป็นเรื่องบ้าง จบวันหนึ่งๆ ไปด้วยความรู้สึกกึ่งล้ากึ่งขี้เกียจ แล้ววันรุ่งขึ้นก็กลับมาเป็นเหมือนเดิมอีก

.

ส่วนนาฬิกาของคนที่นั่น ก็อาจจะเป็นวงเหมือนกัน แต่คงจะมีขนาดใหญ่กว่ามาก ค่อยๆ เดินอย่างระมัดระวัง และมีเวลาใส่ใจกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ และความรื่นรมย์ในชีวิต ซึ่งคนที่หมกมุ่นอยู่กับความสับสนวุ่นวายในสังคมเมืองอาจมองไม่เห็น

................................................................

ตอบคำถามนะครับ

.

การเดินทางไปเยี่ยมเมืองเชียงตุงนั้น ถ้าเราเป็นนักศึกษาประวัติศาสตร์ หรือผู้สนใจสถาปัตยกรรม ศิลปะ และเรื่องของวิถีชีวิตควรจะมีเวลาอยู่ที่นั่นสักสัปดาห์หนึ่ง จะได้อะไรกลับมาอีกเยอะ แต่ถ้าเราไม่ได้ดื่มด่ำกับมันมากนัก หรือเป็นนักท่องเที่ยวแบบทัวร์ชะโงก ก็ซื้อบริการจากบริษัทนำเที่ยวไปเลยครับ รายการนำเที่ยวตามที่ตกลงกันปัจจุบันเท่าที่ทราบจะอยู่ที่ สองคืนสามวันที่โรงแรมชั้นหนึ่งของที่นั่น+ ค่าเดินทาง+อาหารอย่างดี+มัคคุเทศก์ ประมาณ 6,000 บาทต่อคนครับ (ยังไม่รวมทิปให้มัคคุเทศก์ครับ คราวที่ผมไปนี้ เขาบริการดีจนเราเกรงใจเลย...) ถ้าจะเพิ่มเวลาก็ต้องตกลงกับบริษัทเอง เพราะตามกฎหมายแล้ว เราสามารถอยู่ชื่นชมกับความสวยงามที่นั่นได้ถึง 14 วันโดยไม่ต้องทำวีซ่าครับ

.

หรือถ้าจะไปแบบแบ็กแพ็ค ก็ต้องหาทางจองโรงแรมเอง ค่าที่พักนี้ไม่ทราบว่าเท่าไรนะครับ แล้วขึ้นรถจากท่าขี้เหล็กเข้าเชียงตุง หากเป็นรถโดยสาร (ต้องนั่งรถรับจ้างจากหน้าด่านไปท่ารถประมาณ 3 กม.) ค่าโดยสารจะอยู่ในราว 350 บาทต่อคน (ไม่ทราบราคาตั๋วไปกลับนะครับ) และอาจต้องเพิ่มค่ารถรับจ้างอีกนิดหน่อย หากเหมารถขาวมาก็อาจจะอีกเรื่องหนึ่ง อันนี้ต้องต่อรองราคาเองครับ การดำเนินการเกี่ยวกับพิธีการผ่านแดนคงต้องคุยกับคนที่เขามีประสบการณ์ตรงจะดีกว่าครับ อาหารการกินที่นั่นหายห่วงครับ หากินได้ทั้งวันในราคาที่เรารับได้ เลือกเอาที่เขาทำใหม่ๆ ร้อนๆ นั่นละครับกีที่สุด ข้อแนะนำสำคัญคือ พยายามแลกธนบัตรใบละ 20 บาท และเหรียญย่อยๆ ติดกระเป๋าไว้หน่อยก็ดีครับ ซื้อหาสินค้าเล็กๆ น้อยๆ ได้สะดวก แต่ถ้าต้องการซื้อของที่มีราคาค่างวดสูง พกใบใหญ่ๆ ไว้ก็ไม่มีปัญหาครับ พ่อค้าแม่ขายที่นั่นพอจะฟังภาษาไทยรู้เรื่องเพราะที่นั่นเขาดูโทรทัศน์บ้านเราด้วยครับ

.

วันพฤหัสบดีที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

จับเรื่องเล่าเอามาเรียง...จากเชียงตุง (๑)

หอหลวงเจ้าฟ้าเชียงตุง "ครั้งบ้านเมืองยังดี" (ฉายเมื่อปี ค.ศ.1955)

ระหว่างวันที่ 23 – 25 ตุลาคม 2551 ที่ผ่านมา ผมมีโอกาสได้เดินทาง ไปทัศนศึกษา (ว่ากันตามภาษาเราๆ ก็คือไปเที่ยวนั่นเอง) ที่เมืองเชียงตุง รัฐฉานตะวันออก ของสหภาพเมียนมาร์ ก่อนอื่นขอกราบงามๆ ขอบพระคุณสปอนเซอร์เป็นอย่างสูงที่ทำให้ชาวคณะเราได้มีโอกาสอันดีนี้
.
รถออกจากเชียงรายราวเจ็ดโมงครึ่ง แวะรับกันมาเรื่อยๆ กระทั่งถึงอำเภอแม่สายราวแปดโมงครึ่ง กินมื้อเช้ากันท้องกิ่ว จนได้ฤกษ์ (สะดวก) ออกเดินทาง ซึ่งเราต้องแวะทำเรื่องผ่านแดนให้เรียบร้อย ได้ทราบมาว่า ระวางนี้ พวกเราจะต้องยอมให้เจ้าหน้าที่ (ทางนั้น) เก็บบัตรประจำตัวประชาชนไว้ตลอดการเดินทาง สิ่งที่เราได้กลับมาคือใบผ่านแดน จำนวนเท่ากับบัตรประชาชนที่พวกเรายื่นให้เจ้าหน้าที่ไป ซึ่งผู้นำทางของเราจะเป็นผู้ถือเอกสารทั้งนั้น เพื่อดำเนินการทางด้านพิธีการตรวจคนเข้าเมือง

. ผู้นำทางของเรานั้นคือหนุ่มใหญ่เสื้อสีฟ้าในรูป เป็นลูกหลานชาวเชียงตุงแท้ (...ก็เขาว่าอย่างนั้น) อารมณ์ขันดีทีเดียว เขาชื่อว่าพี่หลุยครับ อายุราวกลางคน บ้านอยู่แถวๆ ท่าขี้เหล็ก เพราะใกล้ออฟฟิศการท่องเที่ยวของเมียนมาร์ ซึ่งเป็นต้นสังกัดของเขา (...ต่อไปจะเรียกว่าพม่าแล้ว เพราะเคยปาก) จะเป็นผู้รับผิดชอบการกินการอยู่ของเราตลอดการเดินทางในเชียงตุง
.
พี่หลุยแจ้งเราว่า จะต้องเดินทางจากด่านแม่สายไปอีกราวสามชั่วโมง ถ้าไม่มีปัญหาอะไร เราคงถึงเชียงตุงในราวเที่ยงวัน และจะแวะกินมื้อเที่ยงกันก่อน ค่อยเข้าที่พัก ซึ่งเป็นโรงแรมรัฐบาลที่สร้างบนรากฐานของหอหลวงเจ้าฟ้าเชียงตุงเดิม ทำให้ชาวคณะเราบางท่านที่ออกจะขวัญอ่อนเริ่มแซวกันเองบ้างแล้วเกี่ยวกับคืนแรกในเชียงตุง...
.
ก่อนออกจากด่าน ใครสักคนได้เตือนให้สาวๆ ชาวคณะเราหาหมวกติดตัวไว้เพื่อสะดวกต่อการบังแดดบังฝน เพราะเมื่อถึงที่นั่น การหุบร่มกางร่มบ่อยๆ ออกจะเป็นเรื่องวุ่นวาย ประเดี๋ยวฝนตก ประเดี๋ยวฝนหยุด ประเดี๋ยวแดดจ้า ประเดี๋ยวฟ้าบด สวมหมวกเสียก็สิ้นเรื่อง สาวๆ ก็เลยกรูกันลงไปหาซื้อหมวกกันแล้วกลับมาขึ้นรถ ขณะที่นั่งรถผ่านด่านนั้น เราทุกคนต้องเปิดกระจกให้เจ้าหน้าที่ได้เห็นผู้โดยสาร ว่ามีใครอยู่บ้าง เสียงของเราเริ่มเงียบลงตามลำดับ เมื่อชีวิตของเราไม่ได้เป็นของเราโดยแท้ ไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่า การกระทำของเรานั้นย่อมอยู่ใต้การกำกับ (...แม้กระทั่ง “ใต้บงการ”) ของรัฐ และอื่นๆ ทั้งสิ้น การนั่งรถเพื่อผ่านด่านก็นับว่าอยู่ในเกณฑ์นี้ด้วย

.
อาจจะฟังดูเกินจริงหากจะบอกว่า เวลานั่งรถผ่านด่านนั้นมันช่างยาวนานและน่าตื่นเต้นราวกับว่าเรากำลังจะก้าวเข้าสู่ศตวรรษใหม่ ทั้งๆที่ เมื่อช่วงมิลเลเนียมที่ผ่านมานั้น ผมก็นอนซุกผ้าห่มอยู่ที่บ้านดูโทรทัศน์ไปอย่างเรื่อยๆ เฉื่อยๆ หรือด่านที่เรากำลังผ่านนี้เอง ผมก็เดินผ่านมาเป็นสิบครั้งแล้ว ก็ไม่ได้รู้สึกแบบนี้...เห็นจะเป็นเพราะคำว่า “เชียงตุง” แน่แท้

.
ไม่ได้คิดว่าจะพูดให้ดูเป็นนิยาย หรืออะไรเลย แต่ผมอดประหลาดใจกับความรู้สึกแปลกใหม่อย่างนั้นไม่ใคร่ได้ ที่ว่า “เห็นจะเป็นเพราะคำว่าเชียงตุง” นั้น มาได้คำตอบเอาทีหลังว่า เราได้ยินได้ฟังเรื่องเมืองนี้มาเยอะ แล้วก็คิดหาโอกาสที่จะได้ไปเยี่ยมไปเยือนสักครั้ง พอจะได้ไปถึงเข้าจริงๆ มันก็ตื่นเต้นเป็นธรรมดา

.
เรื่องราวของเชียงตุงที่เคยผ่านหูผ่านตานั้น มีทั้งเรื่องเล่า ประวัติศาสตร์ ตำนาน นิยาย สารคดี ละคร ฯลฯ ทำเอาเราคิดถึงเชียงตุงในหลากหลายรูปแบบ เรื่องหนึ่งที่ติดใจมากเป็นพิเศษก็คือเรื่องของปู่ ซึ่งเป็นเรื่องสั้นๆ ที่ท่านเคยเล่าไว้เมื่อนานมาแล้วว่า เมื่อครั้งจอมพลผิน ชุณหะวัน นำกองกำลังทหารไทยขึ้นไปเชียงตุงนั้น ปู่ก็เป็นส่วนเล็กๆ ในกองทัพนั้นด้วย ท่านยังเล่าถึงความประทับใจให้ฟังว่า มีอยู่ครั้งหนึ่ง ขณะที่อยู่ที่นั่น ทหารไทยได้พบกับเจ้าพรหมลือ เจ้าฟ้าเชียงตุงในยุคปลายองค์หนึ่ง
[1] ซึ่งมีความสัมพันธ์อันดีกับทางการไทย ปู่ยังจำได้ว่าเจ้าพรหมลือนั้นไม่ถือองค์เลย ทั้งยังทรงต้อนรับทุกคนด้วยอัธยาศัยใจคออันดีแม้ว่าท่านจะทรงเป็นเจ้านายใหญ่ยศ ปู่จึงประทับใจในจรรยาของท่านเป็นพิเศษ การเดินทางครั้งนี้จึงเป็นรายการ หลานตามรอยปู่ในเชียงตุง ซึ่งก็บังเอิญว่าในชาวคณะเรานี้มีคุณพี่ท่านหนึ่งซึ่งมีคุณพ่อเป็นทหารผ่านศึกมาในกองกำลังเดียวกันกับปู่ด้วย แต่ก็ไม่ได้ถามไถ่อะไรกันมากนัก เนื่องจากผมมีข้อมูลไม่มากนัก เพราะได้ยินได้ฟังเรื่องราวเหล่านี้เมื่อนานมาแล้ว และไม่สามารถกลับไปถามไถ่หรือเล่าอะไรให้ปู่ฟังได้อีก ค่าที่ปู่ของผมท่านไม่อยู่ให้ถามหรือพูดคุยกันเสียแล้ว...

...................................................
.
[1] เจ้าฟ้าพรหมลือนั้นตามประวัติว่าเป็นต้นสกุล ณ เชียงตุง สืบเชื้อสายจากเจ้าเมืองสาม (ตรงกับสมัยพระเจ้ากรุงธนบุรี) ซึ่งเป็นต้นวงศ์ แต่ว่าตามพงศาวดารฝ่ายเชียงตุงนั้นเขาก็ว่าสืบเชื้อมาจากพรญามังราย เจ้าเมืองสามมีราชบุตรชื่อ เจ้ากองไทย สารัมพยะ เป็นเจ้าฟ้าเชียงตุงสืบมา เจ้าฟ้าองค์ต่อมาคือเจ้าดวงแสง (หรือเจ้ามหาขนาน)-เจ้ามหาพรหม และ เจ้าแสงตามลำดับ จนเมื่อประมาณรัชกาลที่ 5 ของเรานี้ เจ้าโชติกองไทขึ้นเป็นเจ้าฟ้า ต่อด้วยเจ้ามหาพยัคฆโชติ เมื่อสิ้นสมัยเจ้ามหาพยัคฆโชติแล้ว เจ้าก้อนแก้วอินแถลงราชบุตร เจ้าโชติกองไท ก็ได้เป็นเจ้าฟ้าเชียงตุงต่อมา (เหตุการณ์ช่วงนี้ตรงกับช่วง รัชกาลที่5 ถึงรัชกาลที่ 7) มีพระมเหสี 6 องค์ และมีราชบุตร-ราชธิดารวมกัน ดังนี้

1. เจ้าแม่ปทุมา ราชธิดาเจ้าเมืองสิงห์ เป็นมหาเทวี(มเหสีเอก) มีราชธิดา 1 องค์ คือเจ้าหญิงทิพย์เกษร และราชบุตร 1 องค์ คือเจ้าพรหมลือ (ท่านผู้นี้คือต้นสกุล ณ เชียงตุง)
2.เจ้าแม่จามฟอง สามัญชนมีราชบุตร-ราชธิดารวม 6 องค์ คือเจ้ากองไท (ได้เป็นเจ้าฟ้าเชียงตุงองค์ต่อมา); เจ้าอินทรา (ได้เป็นบุตรบุญธรรมเจ้าฟ้าเมืองสีป้อ); เจ้าปราบเมือง; เจ้าขุนศึก (องค์นี้ไม่แน่ใจว่าคือต้นสกุล "ขุนศึกเม็งราย" หรือเปล่า?); เจ้าหญิงบัวสวรรค์ และเจ้าหญิงฟองแก้ว
3. เจ้าแม่บัวทิพย์หลวง มี 5 องค์ ได้แก่ เจ้าหญิงแว่นแก้ว (เป็นมหาเทวีเจ้าฟ้าลอกจอก); เจ้าหญิงสุคันธา (สมรสกับเจ้าอินทนนท์ ณ เชียงใหม่บุตรพ่อเจ้าแก้วนวรัฐ); เจ้าหญิงแว่นทิพย์(เป็นมหาเทวีเจ้าฟ้าแสนหวี แต่ภายหลังหย่าร้าง); เจ้าสิงห์ไชย และ เจ้าแก้วมาเมือง
4. เจ้าแม่นางแดงหลวง มี 2 องค์ ได้แก่ เจ้าสายเมือง และเจ้าหญิงจันทร์ฟอง (สมรสกับข้าราชการป่าไม้ชาวไทย)
5. เจ้าแม่บุญยวง มี 2 องค์ ได้แก่ เจ้าหญิงฟองนวล และเจ้าบุญวาทย์วงศา (คนละองค์กับพ่อเจ้าบุญวาทย์วงษ์มานิตเมืองลำปาง - -ท่านผู้นี้มีบทบาทในการต้อนรับกองทัพไทยที่บุกเข้าเชียงตุงในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง กองทัพพายัพของไทย ซึ่งนำโดยหลวงเสรีเริงฤทธิ์(พลเอกจรูญ รัตนกุล เสรีเริงฤทธิ์) ได้ใช้คุ้มของท่านผู้นี้เป็นกองบัญชาการ)
6.เจ้าแม่บัวทิพย์น้อย ได้แก่ เจ้าหญิงองค์หนึ่ง และเจ้าชายชื่อเจ้ายอดเมือง


เจ้าฟ้ารัตนะก้อนแก้วอินแถลง (กลาง) กับโอรส มีเจ้าฟ้ากองไต (ที่ 2 จากซ้าย แถวหลังสุด) และเจ้าฟ้าพรหมลือ (ที่ 4 จากซ้าย แถวหลังสุด) ร่วมฉายพร้อมกับโอรสองค์อื่นๆ

เจ้าฟ้าก้อนแก้วนั้นได้ส่งเจ้าพรหมลือ และเจ้ากองไท ไปศึกษาต่อในยุโรป แต่ทั้งสองไม่ทันเรียนจบก็ถูกเรียกตัวกลับเชียงตุง ทางเจ้าพรหมลือนั้นยอมกลับแต่โดยดี แต่เจ้ากองไทนั้นได้สมัครเป็นนายทหารในกองทัพอังกฤษแล้ว โดยส่งจดหมายชี้แจงต่อเจ้าพ่อว่า ตนเองไม่มีหวังที่จะก้าวหน้าในเชียงตุง เพราะไม่ได้เป็นราชบุตรเกิดแต่มหาเทวี ไม่มีสิทธิ์ได้เป็นเจ้าฟ้าต่อจากเจ้าพ่อ จึงขอแสวงหาความก้าวหน้าในกองทัพอังกฤษต่อไป เจ้าฟ้าก้อนแก้วจึงขอให้กลับมาก่อน หลังจากนั้นได้มีการตั้งตำแหน่งเจ้าในทางราชการของเชียงตุง ซึ่งเจ้าชั้นสูงของเชียงตุงนั้นมี 5 ตำแหน่ง ได้แก่ เจ้าฟ้า(เจ้าผู้ครองนคร); เจ้าแกมเมือง(อุปราชรัชทายาท); เจ้าเมืองเหล็ก; เจ้าเมืองขาก และเจ้าเมืองขอน ในการนี้เจ้าพรหมลือได้เป็นเจ้าเมืองเหล็ก ขณะที่เจ้ากองไทได้เป็นเจ้าแกมเมือง หรือเจ้าแสนเมือง เพราะตามศักดินาได้กินนาแสน โดยการตั้งตำแหน่งเจ้าครั้งนี้ทำให้เกิดข้อสงสัยว่าทำไมเจ้าพรหมลือไม่ได้เป็นรัชทายาท แต่การสืบราชสมบัติเมืองเชียงตุงนี้ไม่มีเกณฑ์แน่นอน จึงอนุมานเอาว่าคงเป็นเพราะท่านคงเห็นว่าเจ้ากองไทมีศักดิ์เป็นพี่ของเจ้าพรหมลือ (แต่จริงๆแล้วเกิดก่อนกันไม่กี่วันเท่านั้น) จึงตั้งเป็นรัชทายาท ทางเจ้าพรหมลือก็หันไปทำธุรกิจหลายอย่างจนร่ำรวยกว่าบรรดาเจ้านายด้วยกัน และต่อมาได้สมรสกับเจ้าหญิงทิพวรรณ ณ ลำปาง นัดดาเจ้านครลำปาง

ต่อมาเมื่อเจ้าฟ้าก้อนแก้วฯสิ้นพระชนม์ เจ้ากองไทจึงได้เป็นเจ้าฟ้าแทน แต่เป็นได้ไม่นานก็ถูกลอบปลงพระชนม์เมื่อกลับจากงานเทศกาลวันออกพรรษา งานนี้สามารถจับตัวฆาตกรได้ และในเบื้องต้นได้ซัดทอดคนสนิทเจ้าพรมลือจนมีเสียงร่ำลือว่าเจ้าพรหมลือมีส่วนในการจ้างวานผู้อื่นลอบปลงพระชนม์เจ้าฟ้ากองไท เพราะต้องการแก้แค้นที่ถูกปล้นราชสมบัติไป ท่านผู้นี้จึงต้องจ้างวานทนายความจากพม่ามาเพื่อแก้ต่างในคดีนี้จนเสียเงินว่าจ้างเป็นจำนวนมาก แต่ก็พ้นข้อกล่าวหามาได้ และชาวเชียงตุงส่วนใหญ่ก็ไม่ปักใจเชื่อว่าเจ้าพรหมลือจะมีส่วนในคดีนี้ เพราะเห็นว่าทั้งสองนั้นรักใคร่สนิทสนมกันมาก ขณะที่ข้าหลวงอังกฤษยังคงเชื่อมั่นว่าเจ้าพรหมลือต้องมีส่วนในกรณีนี้ (สนใจค้นคว้าต่อในเรื่อง "The Lords of Sunset" มีรายละเอียดเกี่ยวกับคดีฆาตกรรมเจ้าฟ้าในมุมมองของชาวอังกฤษ) ในหนังสือที่เกี่ยวกับกองทัพไทยในช่วงสงครามมหาเอเชียบูรพานั้นกล่าวถึงเรื่องเจ้าพรหมลือว่าเมื่อกองทัพพายัพของไทยบุกเข้าเชียงตุงได้ ตามนโยบายสหรัฐไทยเดิม ก็มีการแต่งตั้งจากทางกรุงเทพฯให้เจ้าพรหมลือเป็นเจ้าฟ้าเชียงตุง และให้เจ้าฟ้าพรหมลือและเจ้าบุญวาทย์วงศาเป็นที่ปรึกษาของข้าหลวงทหารฝ่ายไทย ทางอังกฤษก็เห็นว่าเจ้าพรหมลือมีใจฝักใฝ่ฝ่ายไทย จึงยิ่งทวีความไม่ชอบเข้าไปอีก (อาจมีชนวนมานานแล้ว ทั้งผลประโยชน์ในการค้า ซึ่งมีธุรกิจค้าฝิ่นเข้ามาเกี่ยวข้อง การสมรสกับเจ้าหญิงชาวไทย กรณีฆาตกรรมเจ้าฟ้ากองไท และกรณีสุดท้ายที่เข้ากับฝ่ายไทย) ต่อมาเมื่อกองทัพไทยถอยออกมาจากเชียงตุงแล้วเจ้าพรหมลือและครอบครัวจึงได้อพยพเข้ามาเมืองไทย ได้รับการอำนวยความสะดวกจากนายทหารชั้นผู้ใหญ่ของไทยจนสนิทสนมชอบพอกัน ก็คือ ครอบครัวของจอมพลผิน ชุนหะวัณ และเมื่อมาอยู่ที่เชียงใหม่แล้วก็ ได้ใช้นามสกุลว่า "ณ เชียงตุง" สืบมา
ข้อมูลจาก: http://www.lannaworld.com/cgi/lannaboard/reply_topic.php?id=15149

วันอาทิตย์ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

Post-Election Remarks from Obama and McCain


picture credits: http://www.edsmart.com/stamps/images/whitehouse.jpg
.
After spending 2-3 hours to read two post-election remarks given by the President-Elect Barack Obama and Sen.John McCain on November 04, 2008 as a strong recomendation from Assoc. Prof. Phiphat Thaiarry. I think that I should ask all of you to consider the substance and messsage from those two men of the year too.
.
Obama's Remarks from http://www.barackobama.com/2008/11/04/remarks_of_presidentelect_bara.php
.
McCain's Remarks from http://www.johnmccain.com/splash110408.htm
.
.

วันเสาร์ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

...ระวัง! มันกำลังจะมา...


เผลอตัวเผลอใจ...ไม่ทันไรก็มาอีกเทอมแล้ว...
.
เหมือนเวลาผ่านไปไม่นาน เด็กๆ ที่ผมเคยเจอเมื่อเทอมที่แล้ว ชักจะกลายเป็นคนแปลกหน้าขึ้นทุกที คือเราจะเริ่มจำหน้าได้บางคน ...แต่ดูเหมือนว่าก็จะเริ่มจำหน้าอีกหลายๆ คนไม่ใคร่ได้...
.
เหนือสิ่งอื่นใด ผมมองเห็นเขาเหล่านั้นเติบโตขึ้นกว่าเดิม...อย่างน้อยก็ในทางรูปลักษณ์ภายนอก...ส่วนภายในจะเป็นอย่างไรนั้น ไม่อาจทราบได้ จนกว่าจะได้คุยกันเกี่ยวกับเรื่องต่างๆ เพื่อให้เห็นวิธีคิด วิธีมองโลกของเขาว่าเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมากน้อยเพียงไร...ผมเชื่อโดยสุจริตใจว่า การทำงานกับคนรุ่นหนุ่มรุ่นสาวนั้นมันก็ดีอย่างหนึ่ง ตรงที่ เราได้อยู่กับคนที่ (ยังคง) มีพลังสร้างสรรค์ในชีวิตสูงกว่าวัยอื่นๆ เพราะ เมื่ออยู่ในวัยประถม-มัธยม นั้นเขาเหล่านั้นต้องตกอยู่ในกรอบที่ผู้ใหญ่สร้างขึ้น โดยไม่อาจต่อรองอะไรได้ นอกจากการทำตัวเป็นเด็กดี และไม่เป็นตัวปัญหาให้กับสังคมรอบข้าง...
.
แม้เมื่ออยู่ในวัยทำงานแล้วก็ตาม เขาเหล่านั้นก็อาจต้องตกอยู่ในกรอบอีกประเภทหนึ่งจนไม่สามารถ "ระเบิด" พลังที่มีอยู่ภายในออกมาใช้ได้เท่าที่ควร ไม่พ้นต้องทำตัวเป็น "เด็กดี" และ "ไม่เป็นตัวปัญหา" เหมือนเดิม...
.
ความน่าสนใจของ "วัยเกือบเป็นผู้ใหญ่" อย่างนักศึกษามหาวิทยาลัยอยู่ตรงที่ จะเป็นเด็กก็ไม่ใช่ จะเป็นผู้ใหญ่ก็ไม่เชิง ทั้งกรอบของเด็ก และกรอบแบบผู้ใหญ่นั้นไม่อาจเอามาจำกัดวงของการใช้ชีวิตของเขาเหล่านั้นได้ การปลดปล่อยพลังของคนในวัยนี้จึงน่าจะมีมากกว่าวัยก่อนหน้าและเวลาที่เขากำลังจะเดินไปถึง มีกิจกรรมจำนวนไม่น้อยที่ เด็กๆ ทำไม่ได้ และผู้ใหญ่ (ที่บ้างานและบ้าระเบียบ) ก็ไม่มีเวลาจะทำ แต่คนวัยเกือบเป็นผู้ใหญ่นั้นมีความคิด โอกาส และพละกำลังที่จะทำในสิ่งต่างๆ เหล่านั้นมากกว่าคนสองกลุ่มแรก
.
แต่มันก็มีคำถามเกิดขึ้นในใจของผมข้อหนึ่งคือ...แล้วพวกเขาคิดจะทำอะไรกับความคิด โอกาส และพละกำลังเหล่านั้น ...ผู้ใหญ่จำนวนหนึ่งบอกว่า "เรา" ในฐานะผู้ใหญ่ ซึ่ง "มีประสบการณ์มากกว่า" จะต้องช่วยนำพา "เด็กๆ" เหล่านั้นไปสู่ทางที่เหมาะสม...ผู้ใหญ่บางคนก็บอกว่าให้เขาคิดเอาเองบ้างเถอะ อย่าไปตีกรอบกันให้มากเลย เด็กมันก็โตๆ กันแล้ว...และผู้ใหญ่อีกไม่น้อยก็บอกว่า ผู้ใหญ่ทำได้อย่างมากก็เป็นคู่คิด เป็นที่ปรึกษาให้ ส่วนเรื่องการตัดสินใจก็ต้องปล่อยให้เป็นเรื่องของหนุ่มๆ สาวๆ เขาตัดสินใจทำเอง
.
คำพูดต่างๆ เหล่านั้น ล้วนแต่มาจากผู้ใหญ่ที่ตกอยู่ในกรอบของการ "เป็นเด็กดี" และ การ "ไม่เป็นตัวปัญหา" เสียแล้ว ทั้งสิ้น (...ซึ่งผมก็เป็นหนึ่งในจำนวนนั้น แต่อย่าถามให้เสียเวลาเลย ว่าเป็นผู้ใหญ่พวกไหน) ...กลายเป็นตลกที่ขมขื่น จะหัวร่อก็มิได้ จะร่ำไห้ก็มิออก...
.
คนรุ่นหนุ่มรุ่นสาวเองนั่นแล ที่มีหน้าที่ต้องตอบคำถามนั้น แล้วเลือกเอา ว่าจะยอมให้คนที่อยู่ในกรอบ มาตีกรอบให้ตัวเองได้มากน้อยขนาดไหน เพราะไม่มีใครรู้ "สัดส่วนของความพอดี" ของตัวเรา ได้ดีเท่าตัวเราเอง...
.
มาถึงบรรทัดนี้ หลายคนอาจรู้สึกว่า "งานเข้า"...
.
...บอกแล้ว...ว่าให้ระวัง...มันกำลังจะมา!!
.
.

วันเสาร์ที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

Pre Midterm Exam Message

Dear All,

I did update the blog links which you have submitted since last weekend, pls. check the accuracy of the link again na krub. All comments are always welcome.
.
Midterm exam will be arranged within few days, there are many things that should be done esp. reading and reviewing what we have learned including taking care of ourselves...be careful na krub.
.
You should find the exam room at least one day before taking exam, the penalty for forgetting the exam date and the venue is quite serious na krub!!!
.
To avoid all problems which may happen, ...I have to insist that BE CAREFUL NA KRUB.
...
Good luck for all....
.
**CHEATING IS NOT ACCEPTABLE NA KRUB**




วันจันทร์ที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2551

76 Years of Change,but...



ยี่สิบสี่มิถุนา-ยนมหาศรีสวัสดิ์
ปฐมฤกษ์ของรัฐ-ธรรมนูญของไทย
เริ่มระบอบแบบอา-รยะประชาธิปไตย
เพื่อราษฎรไทยได้สิทธิเสรี
สำราญสำเริงบันเทิงเต็มที่
เพราะชาติเรามีเอกราชสมบูรณ์
ไทยจะคงเป็นไทยด้วยร่วมใจเทอดไทยชโย
.
มนตรี ตราโมท
.
.

คณะราษฎรก็ได้ประกาศแนวทางหรือนโยบายในการบริหารหรือปกครองประเทศ
ด้วยหลัก ๖ ประการ ดังต่อไปนี้
๑.จะต้องรักษาความเป็นเอกราชทั้งหลาย เช่น เอกราชในทางการเมือง
ในทางศาล ในทางเศรษฐกิจ ฯลฯ ของประเทศให้มั่นคง
๒.จะต้องรักษาความปลอดภัยในประเทศ ให้การประทุษร้ายต่อกันลดน้อยลงให้มาก
.จะต้องบำรุงความสุขสมบูรณ์ของราษฎรในทางเศรษฐกิจ โดยรัฐบาลใหม่จะหางานให้ราษฎรทุกคนทำ จะวางโครงการเศรษฐกิจแห่งชาติ โดยไม่ปล่อยให้ราษฎรอดอยาก
๔.จะต้องให้ราษฎรมีสิทธิเสมอภาคกัน
๕.จะต้องให้ราษฎรมีเสรีภาพซึ่งไม่ขัดต่อหลัก ๔ ประการ ดังกล่าวแล้ว
๖.ให้การศึกษาอย่างเต็มที่แก่ราษฎร

.

อุดมคติของคณะราษฎรเป็นเช่นหลัก ๖ ประการนี้ เมื่อเวลาผ่านไป ๗๖ ปี เมืองไทยไปถึงไหนแล้ว...?

เชิญอ่าน สัมภาษณ์ คุณกระจ่าง ตุลารักษ์ คณะราษฎรคนสุดท้าย จากนิตสารสารคดี ที่นี่

.

credit: http://www.manager.co.th/

.

วันพุธที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2551

List of Blogs submitted [1]: Politics&Government




Politics [sec03]
http://welovemfu.blogspot.com/
.


Politics [sec04]


-none-


.


I'm waiting for you na krub.

วันอังคารที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2551

...ภาพงานผ้าป่า วันกตัญญูวัดขัวแคร่...14 มิถุนายน 2551

...อย่างที่ว่าไว้เมื่อคราวที่แล้วว่าจะเก็บภาพบรรยากาศมาลงใน blog ...เสียดายที่ไม่ได้อยู่ร่วมงานโดยตลอด เนื่องจากมีงานเร่งด่วนเข้ามา ก็ทำได้เพียงถ่ายภาพก่อนงานเริ่มมาลงไว้เท่านั้นเอง... ใครใคร่ได้บุญ อนุโมทนาเอาเน้อ...
.
.
...แม่อู๊ยมาไหว้พระธาตุ...
.
.
...ตั้งเต๊นท์ที่ข้างวิหารพรญามังราย...เงินผ้าป่าสมทบทุนสร้างวิหารหลังนี้แล..
.
.
ตั้งกองผ้าป่าหน้าองค์พระธาตุ
.
.
...ญาติโยมศรัทธาวัดมาทำบุญ...
.

.

...สาธุ...
.

.
...เมื่อเงยหน้าขึ้น...
.

.

...เขาว่าพระธาตุองค์นี้จำลองมาจากพระธาตุเจ้าจอมยอง เมืองยอง ในพม่า...

.

. .
...องค์แทนครูบาเจ้าศีลธรรม...ภาพวาด...รูปเหมือน...อัฐิ...และรอยเท้า...
.
.
...เครื่องไทยทาน...
.

.

...ณ เวลาที่เราจากมา กำลังเริ่มพิธีช่วงต้นพอดี....

.

...เสียดายที่ไม่ได้อยู่ต่อจนกระทั่งครูบาบุญชุ่มมาถึง ไม่อย่างนั้นคงได้ภาพมาลงอีกโข ไว้โอกาสงานบุญอื่นๆ มีมาอีกจะนำมาลงไว้ให้ได้ชมกัน....
.

วันพุธที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2551

...น้อมใจ๋ไหว้สา พระครูบาเจ้าศีลธรรม...


...วันนี้ เมื่อร้อยสามสิบปีก่อน หากนับวันทางสุริยคติ คือตามปฏิทินฝรั่ง เป็นวันเกิดของพระมหาเถระที่สำคัญรูปหนึ่งในพระพุทธศาสนา พระคุณท่านคือ สิริวิชยภิกขุ หรือที่คนทั่วไปรู้จักในนามครูบาเจ้าพระศรีวิไชย หรือ สมญา ครูบาเจ้าศีลธรรม...ก็ได้มาระลึกนึกถึงท่านว่าท่านได้สอนเราชาวพุทธไว้หลายอย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมตตาธรรม ขันติธรรม และอหิงสธรรมในวัตรปฏิบัติของท่าน นั้นประทับอยูในใจของเรามากเป็นพิเศษ
.
...ที่เรานับถือท่าน กราบไหว้ท่านสนิทใจ ไม่ใช่เพราะเรื่องปาฏิหารย์หรืออะไร หากเป็นเพราะเราได้รับทราบเถรประวัติของพระคุณท่าน และเห็นผลงานที่ยังคงอยู่เป็นอนุสรณ์จนเท่าทุกวันนี้ แต่ที่สำคัญเหนืออื่นใดคือคุณธรรมของท่าน ที่เราได้คำนึงอยู่ในใจเรื่อยมา ...เราก็คงเหมือนๆกันกับอีกหลายคนที่น้อมใจให้ท่านด้วยเหตุอย่างนี้ ...แม้กับศิษย์หาใกล้ชิดท่านอย่าครูบาเจ้าอภิชัยขาวปี และครูบาเจ้าพระชัยยะวงษาพัฒนาที่ต้องเผชิญหน้ากับ "ธรรม" ที่มาพิสูจน์ "คุณธรรม" ของพระคุณท่าน เราก็น้อมกราบท่านอย่างสนิทใจด้วยเช่นกัน
.
...แม้ว่าเรายังไม่อาจมีความกล้าหาญทางจริยธรรมเหมือนพระคุณท่านทั้งสามรูป แต่สิ่งที่ท่านได้เมตตาใช้ชีวิต เลือดเนื้อของท่านเป็นครูให้แก่เราย่อมทำให้จิตใจอันหยาบของเราผู้อยู่ในเพศอันคับแคบนี้ ได้มีโอกาสพัฒนาให้ดีขึ้นกว่านี้ได้ ตามน้ำธรรมคำสอนของท่านที่รับสืบทอดมาแต่พระบรมศาสดา
.
...วันเสาร์ที่ 14 มิถุนายนที่จะถึงนี้ หากนับทางจันทรคติ คือปฏิทินอย่างไทยนั้น จะเป็นวันครบรอบชาตกาลของพระคุณท่าน จะมีงานบุญเพื่อระลึกถึงพระคุณท่านเอาเป็นอนุสสติสืบไป ที่วัดขัวแคร่ เมืองเชียงราย เราก็หมายใจจะไปร่วมงานบุญ ณ ที่นั้น แล้วจะเก็บภาพบรรยากาศมาลงไว้ที่นี่ต่อไป...
.
โปรดติดตามอ่านเถรประวัติ ครูบาเจ้าพระศรีวิไชยได้ที่ "โลกล้านนา" http://www.lannaworld.com/person/svchai.htm
.
.
.

วันอังคารที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2551

...เปิดเทอมใหม่...หัวใจว้าวุ่น...


...ผมทำงานเกี่ยวกับการศึกษาของมนุษย์ที่โตแล้ว แต่การเปิดเทอมใหม่ก็นำความหฤหรรษ์อันแสนจะตื่นเต้นและค่อนข้างจะวุ่นวายมาสู่ชีวิต ไม่ต่างไปจากสมัยที่เราเป็นนักเรียน จะมีก็แต่สถานภาพที่เปลี่ยนไป จากคนที่นั่งฟากหนึ่งของห้อง ย้ายไปอีกฟากหนึ่ง เพราะมีความรู้ความเข้าใจในบางเรื่องมากกว่าเดิมเล็กน้อย ...(พอดีต้องรีบไปทำงานรอบที่สองของวัน เดี๋ยวจะกลับมาใหม่...นะครับ)...
.
.
.
...การใช้ชีวิตแบบบุคลากรทางการศึกษาทำให้เรามองภาพของการเปิดเทอมต่างไปจากวิธีมองในสมัยที่เรายังเป็นละอ่อนได้พอสมควร เป็นเพราะเราได้มีโอกาสเห็นอะไรต่ออะไรมากขึ้นตามวันเวลาที่เปลี่ยนไป เป็นเพราะเราพบคนมากหน้าหลายตา ซึ่งมีความคิด มีนิสัยแตกต่างกัน ซึ่งยังเปลี่ยนหน้าไปเรื่อยๆ ตามภาคเรียนที่เปลี่ยนไป ความตื่นเต้นสมัยเด็กๆ ที่เคยเกิดกับเรานั้นจึงเปลี่ยนตาม...แต่ไม่ถึงกับหายไปเสียเลยทีเดียว หากเปลี่ยนรูปลักษณ์ของความตื่นเต้นอีกแบบหนึ่ง ตามมาด้วยภารกิจ ความรับผิดชอบ และเรื่องอื่นๆ อีกมากมาย ทั้งสนุก มีความหวังในการทำสิ่งแปลกใหม่ และความวิตกกังวลว่าจะมีเรื่องที่ชวนให้เสียอารมณ์และความตั้งใจที่มีอยู่ในช่วงต้นๆ ของการทำงานในเทอมนั้นๆ...
.
...ความว้าวุ่นในใจที่มาพร้อมกับเทอมใหม่ อาจเป็นเรื่องท้าทายที่เป็นส่วนหนึ่งของความตื่นเต้นนั้นก็ได้...

...สวัสดี...


...Blog นี้ ถูกเปิดไว้ เพื่อเป็นที่แสดงออกซึ่งความคิดเห็น และส่งผ่านข้อมูลข่าวสารให้ใครต่อใครได้รับทราบ หวังว่าจะได้รับเกียรติจากเพื่อนๆ ที่ผ่านมาผ่านไปได้เข้ามาพูดคุยกันบ้างนะครับ...