วันเสาร์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

...เราควรจะหงุดหงิดหรือไม่?...

ระยะหลายวันมานี้มีเรื่องรบกวนจิตใจนิดหน่อย...ถึงมากๆ

ซึ่งนั่นก็คือ เราควรจะหงุดหงิดหรือไม่? กับความตายของมนุษย์จำนวนหนึ่งซึ่งรัฐบาลไม่สามารถหาคำตอบได้ ว่าเป็นฝีมือของใคร และ "รัฐ" ในฐานะที่ต้องสร้างหลักประกันความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน จะแสดงความรับผิดชอบกับสิ่งเหล่านี้อย่างไร หลายวันมานี้การลงไม้ลงมือกันเพียงเพราะ "คนละสี" จนเลือดตกยางออก บ้างก็ถึงขั้นเสียชีวิต โดยที่เจ้าหน้าที่ของรัฐยังไม่สามารถทำอะไรเพื่อให้ความกระจ่างในข้อสงสัยของคนที่ "ไม่เหลือง ไม่แดง" เกี่ยวกับการบาดเจ็บล้มตายเหล่านั้น

เป็นไปได้ไหมว่าเราควรหงุดหงิดกับรัฐบาล?...อันเนื่องมาจากการบุกยึดสถานที่ราชการ ท่าอากาศยานนานาชาติและอื่นๆ โดยกลุ่มชนที่มีอารมรณ์คุกรุ่นเพื่อต้องการความเปลี่ยนแปลงทางการเมืองโดยที่รัฐบาลไม่สามารถทำอะไรได้มากกว่าการถอย (เพราะไม่สามารถใช้ไม้แข็งแบบวันที่ 7 ต.ค. ที่ผ่านมาได้อีก เพราะต้นทุนสูงเหลือเกิน...) ทั้งที่ผู้นำรัฐบาลสามารถเปิดอกคุยกับแกนนำผู้ชุมนุมได้ แต่ก็เลือกที่จะไม่ทำตั้งแต่ต้น จนกระทั่งเรื่องราวมันเลยเถิดไปขนาดนี้...

หรือเราควรจะหงุดหงิดกับผู้ชุมนุมดี?...เหมือนกับอารมณ์ของ SMS ตามหน้าจอโทรทัศน์นับตั้งแต่วันก่อน...รวมทั้งพลังแดง พลังขาว พลังเขียว พลังส้ม และพลังสีอื่นๆ ในสังคมนี้ หรือแนวร่วมสีเหลืองเองที่เคยหงุดหงิดกับแนวร่วมสีแดงในเชียงรายที่ปิดทางเข้าออกท่าอากาศยานเชียงรายเมื่อสองสามเดือนก่อน ตอนนั้นก็มีคนไม่น้อยหัวเสียกับการกระทำของแนวร่วมสีแดง ซึ่งมาวันนี้ฝ่ายเหลืองเอาบ้าง คนที่เคยเชียร์สีเหลืองก็เปลี่ยนใจไม่เชียร์เสียแล้ว เหมือนเพื่อนร่วมก๊วนข้าวเที่ยงกล่าวขึ้นมาลอยๆ เมื่อวานนี้ว่า "...เราเลิกเชียร์แล้วล่ะ มันเกินไป..."
ล่าสุดเมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมา เพื่อนร่วมงานที่นั่งโต๊ะไม่ห่างกันเท่าไรนักส่งเสียงเตือนขณะที่ผมกำลังเปิดวิทยุเพื่อฟังความเคลื่อนไหวของการชุมนุมว่า ..."...ช่วยเบาเสียงวิทยุลงนิดนึงได้ไหม? ไม่อยากได้ยินเสียงการชุมนุม เพราะพวกนี้ดูหมิ่นสถาบัน ฯลฯ..." ซึ่งผมเองก็พยายามไม่ให้มันดังอยู่แล้ว แต่กลายเป็นว่าเสียงข่าวที่แว่วออกไปนั้น แม้เพียงน้อยนิดก็เป็นเหมือนมลพิษที่มีมวลมหาศาลทีเดียว อารมณ์ของคนในสังคมเวลานี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กลุ่มที่บอกว่า "...อย่ามาเหมานะ...ชั้นไม่ใช่แดง...และก็ไม่ใช่เหลืองด้วย..." คือคนทั่วๆ ไปที่ต้องการเห็นการเมืองที่สงบสมานฉันท์ ทุกคนสามัคคี ฯลฯ (ซึ่งการเมืองที่ไหนๆ ในโลกไม่เคยอยู่ในภาวะที่ว่านั้นเลย) แกว่งไปหาความไม่พึงพอใจที่มีต่อกลุ่มผู้ชุมนุม และดูเหมือนว่าจะค้างอยู่ที่นั้นจนไม่แกว่งไปที่ไหนอีก
...เราควรจะหงุดหงิดกับสถาบันทหาร...กระนั้นฤๅ?...เหมือนกับที่กลุ่มผู้ชุมนุมกำลังหงุดหงิดกับท่าทีที่ไม่ซ้ายไม่ขวา ท่องคาถาอยู่กับที่ ว่า..."ไม่ปฏิวัติ ...ไม่ยึดอำนาจ...ไม่เคลื่อนไหว"...ของผู้นำเหล่าทัพ ซึ่งอันที่จริงก็น่าเห็นใจท่านๆ เหล่านั้น เนื่องจากต้นทุนและเดิมพันของทหารนั้นสูงมาก มากเสียจนทำให้ท่านเหล่านั้นไม่อาจเสี่ยงปฏิบัติการเหมือนที่สถาบันนี้เคยทำมาก่อน ไหนจะนักการเมือง ไหนจะมวลชน ไหนจะชื่อเสียงเกียรติภูมิของประเทศ คิดแล้วได้ไม่คุ้มเสีย และไม่อาจวางใจในคู่กรณีในความขัดแย้งครั้งนี้ได้ทั้งคู่ การตั้งรับในที่มั่นอาจดูเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในยามนี้

...หงุดหงิดกับคุณทักษิณและพลพรรคของเขาดีไหม?...หลายคนในโลกใบนี้พยายามชี้ประเด็นว่าคุณทักษิณ รวมทั้งเครือญาติ เครือข่าย ลูกน้อง ลูกพรรค ฯลฯ ของเขานั้นเป็นต้นเหตุแห่งความวุ่นวายในวันนี้ ตั้งแต่ทุจริตเชิงนโยบาย ใช้ช่องว่างของกฎหมายเพื่อประโยชน์ทับซ้อน ทำลายกลไกถ่วงดุลและตรวจสอบทั้งทางสภาและองค์กรอิสระ หลบเลี่ยงการบังคับทางกฎหมาย ว่าการหลังม่านผ่านนอมินี และแฟมิลี่ เรื่อยไปจนกระทั่งข้อหาทรราชย์และมุ่งร้ายต่อสถาบัน ...แต่อย่าลืมว่า ผู้คนส่วนมากมักสนใจแต่เรื่องเฉพาะหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องเฉพาะหน้าที่มีการเผยแพร่ผ่านทางสื่อสารมวลชนแบบ real time แล้วตัดตอนของความสนใจระยะสั้นๆ ความสนใจที่มีต่อสิ่งที่คุณทักษิณและพรรคพวกของเขากระทำสะสมเอาไว้ในอดีตจึงมีไม่มากนัก

...แล้วหงุดหงิดกับสื่อล่ะ?...สื่อจำนวนมากพยายามช่วงทำหน้าที่ในการนำเสนอข้อมูลข่าวสาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งสื่อโทรทัศน์ ที่ต้องการนำเสนอภาพสดๆ ของเหตุการณ์ แล้วคนบ้านเราสมัยนี้ก็ชอบที่จะดูโทรทัศน์เพื่อติดตามสถานการณ์ อารมณ์ของผู้ชมก็ผันแปรไปตามภาพข่าวที่ออกสื่อมาให้เห็น อย่าลืมว่าเวลาในจอแก้วนั้นมีราคาแพงกว่าเวลาในนาฬิกาของเราๆ ท่านๆ อักโข การตัดภาพข่าวออกมาจึงต้องเน้นภาพที่มี "พลังสะเทือน" หรือ IMPACT สูง ซึ่งหารายงานพิเศษประเภท "เคียงข่าว" (ซึ่งหมายถึงข้อเท็จจริงที่เกี่ยวกับเหตุการณ์ที่รายงานเข้ามาตามลำดับเหตุการณ์) ได้น้อยเหลือเกิน นอกจากนี้ รายการบันเทิงต่างๆ ยังคงมีให้เลือกบริโภคมากกว่ารายการเชิงสาระ มิพักต้องพูดถึงวิทยุ ทั้งชุมชน และไม่ชุมชน และหนังสือพิมพ์ต่างๆ ซึ่งมีฝักฝ่ายและเลือกข้างชัดเจน ทั้งนี้ให้ผู้เสพสื่อเลือกบริโภคกันตามความสนใจและข้อจำกัดของแต่ละคน

...หรือเรา...ควรจะหงุดหงิดกับตัวเอง...
...หงุดหงิดที่เสพข่าวสารมากเกินไป...
...หงุดหงิดที่ไม่ดูข่าวสารให้รอบด้าน...
...หงุดหงิดที่เสพข่าวสารไม่เป็น...
...หงุดหงิดที่ไม่เลือกข้าง...
...หงุดหงิดเพราะใครสักคนรอบตัวเราเลือกข้าง...ที่เราไม่ชอบ...
...หรือหงุดหงิดที่ปล่อยให้ "คนน่าละอายหลายจำพวก" (หากอยากรู้ว่าพวกนี้เป็นใคร โปรดอ่านเนชั่นสุดสัปดาห์ ฉบับล่าสุด) เดินเข้าสภามาชูคอกันสลอนจนได้ ทั้งๆ ที่รู้ว่ากฎหมายก็มีอยู่ คนปฏิบัติตามกฎหมายก็มีอยู่ การศึกษาของคนเราก็ไม่ใช่น้อย คนมีข้อมูลก็มีอยู่มากมาย ฯลฯ
...หากจะหายหงุดหงิด ก็คงต้องหาเหตุแห่งความหงุดหงิดนั้นให้ได้เสียก่อนกระมัง....

2 ความคิดเห็น:

@^klin^@ กล่าวว่า...

เหตุการณ์ทุกวันนี้ ... ก็ยอมรับ ว่าหงุดหงิด และเครียดกับการกระทำต่างๆของแต่ละกลุ่มเช่นกัน คงไม่มีใครบอกว่าสนุกหรอกที่ประเทศบ้านเกิดเมืองนอนของตนเองต้องเป็นแบบนี้ เศรษฐกิจ การท่องเที่ยวพังไม่เป็นท่า ประชาชนเดือดร้อน ประเทศไทยกลายเป็นประเทศที่ติด Top Ten ประเทศอันตรายที่สุดในโลก .. บางครั้งเคยคิดเหมือนกันว่าจะอยู่ข้างไหนดี แต่ไม่ว่าจะข้างไหน มันก็คือคนไทยเหมือนกัน จะแบ่งแยกแบ่งข้างกันทำไม ในเมื่อทุกวันนี้(หาก)ต่างคนก็คิดว่าทำเพื่อประเทศชาติจริง ไม่ใช่เพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว ควรหยุดการกระทำที่จะทำร้ายประเทศ ดังเป็นอยู่เช่นทุกวันนี้

ปล. ฝากโฆษณาบล็อกด้วยนะคะ
http://blogger.sanook.com/ekbkbb/

ไม่ระบุชื่อ กล่าวว่า...

หงุดหงิดกับคนที่ทำความผิดแล้วไม่ได้รับโทษตามความผิดที่ตนกระทำ

แล้วยังทำให้คนจำนวนมากเดือดร้อนเพราะคน คนเดียวอีก