วันเสาร์ที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2552

...จับเรื่องเล่า เอามาเรียง จากเชียงตุง (๕)...

...ถึงวันนี้ก็กว่าปีแล้วที่ผมไม่ได้หยิบเรื่องความทรงจำในระยะทางจากเชียงตุงมาเขียนอีกเลย นับแต่เดือนธันวาคม ปีกลาย เป็นความเฉื่อยชนิดหนึ่งซึ่งไม่น่ารักเอาเสียเลย...

...ระยะหลังนี้ไปรับเขียนให้ blog อื่นก็เหมือนเอาถ่านใหม่มาต่อไฟเก่า เป่าๆ เสียหน่อยก็น่าจะยังใช้การได้ เลยถือโอกาสต่อประเด็นที่ค้างไว้...

...ย้อนหลังให้นิดหน่อยนะครับว่าเราออกจากอำเภอแม่สายในช่วงเช้าราวแปดนาฬิกาที่ละอองฝนยังแผ่วๆ และพื้นถนนก็ยังหมาดๆ ค่าที่ยังไม่พ้นหน้าฝน แต่เมื่อถึงด่านชายแดนนั้นชาวคณะต่างก็เริ่มรู้สึกว่าจากนี้ไปคงจะไม่เจอฝนอีก และสิ่งที่จะเกิดขึ้นก็คือแดดแรงๆ ในช่วงกลางวัน แม่หญิงในหมู่หลายท่านต้องรีบลงรถไปช้อปปิ้งหมวกปีกกว้างเป็นรายการแรกที่หน้าด่านก่อนที่จะข้ามไป...


...เมื่อดำเนินพิธีการผ่านแดนเสร็จ เราก็พบว่าพี่หลุยซึ่งเป็นมัคคุเทศก์อิมพอร์ตจากการท่องเที่ยวเมืองพม่ายืนรอเราอยู่พร้อมกับสาวๆชาวท่าขี้เหล็กที่ตั้งแถวรอยื่นดอกกุหลาบให้กับคณะนักท่องเที่ยวที่กำลังผ่านแดนเข้าไปฝั่งตลาดท่าล้อ ซึ่งผมเชื่อโดยสุจริตใจว่า เขาอาจไม่ได้เตรียมไว้ให้คณะของเราเพราะในวันนั้นมีขบวนคาราวานรถขับเคลื่อนสี่ล้อร่วมทางไปกับคณะเราด้วย ชะรอยดอกกุหลาบที่ตะละแม่ทั้งหลายยื่นมาให้เรานี้คงจะเป็นของคณะใหญ่นั้นเป็นมั่นคง เราก็คงต้องรับมาแล้วก็ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ไปเสียก็จบ...

.

...นี่น่าจะเป็นคาราวานเจ้าของดอกกุหลาบ...

...ขบวนน้อยๆ ของเราผ่านด่านไปอย่างแช่มช้า ก่อนจะเร่งเครื่องอย่างรวดเร็วหลังผ่านตัวตลาดมาแล้ว เพราะนัดหมายกับร้านอาหารที่เมืองเชียงตุงเอาไว้ แม้ว่ารถจะวิ่งเร็วก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการทอดตาทอดใจไปกับทัศนียภาพระหว่างทางนัก ตัวผมเองอยู่ข้างจะโชคดีเพราะไม่ใคร่เมารถ การหาความเพลิดเพลินระหว่างเดินทางจึงทำได้ไม่ลำบากมากนัก...

...ในที่สุดก็มาถึงชานเมืองเชียงตุงจนได้ สิ่งที่น่าสนใจประการหนึ่งนอกเหนือไปจากสารพัดด่านที่เจอแล้วก็คือ ด่านล้างรถเพื่อทำให้รถสะอาด (ตามสมควร) ก่อนเข้าเมือง หากคันไหนฝ่านมาแล้วยังเป็นรถบรรทุกฝุ่นอยู่ก็จะมีโทษ และต้องถูกปรับตามระเบียบของทางราชการ...ทั้งๆ ที่ถนนในเมืองก็สภาพไม่ต่างไปจากถนนภายนอกที่ก่อให้เกิดฝุ่นได้พอๆ กัน...


...มัคคุเทศก์อิมพอร์ตเลือกที่จะพาเรามารับประทานอาหารกลางวันก่อนเข้าไปยังที่พัก โดยพาพวกเราเข้าไปที่ร้านอาหารไทย (?) ชื่อร้าน "โลกตา" (Loketha) ซึ่งไม่ทราบว่าจะแปลว่ากระไรได้ มีท่านหนึ่งในหมู่สันนิษฐานว่ามันน่าจะเพี้ยนมาจาก โลกไทย เพราะคนไทยน่าจะมากินบ่อย...แต่ตอนนั้นคิดอะไรไม่ออกกันแล้ว ก็ได้แต่จ้วงกับข้าวกันเต็มเหนี่ยว อิ่มแล้วค่อยว่ากัน...

.
...ไทยมุงกับข้าวกั้นจิ๊น ห่อละ ๕ บาท...

...อาหารการกินในแต่ละมื้อที่ทัวร์จัดให้นั้น เรียกได้ว่าอิ่มหมีพีมัน และอุดมไปด้วยกับข้าวอย่างชาวสยาม/ไทยเมืองใต้ (ไม่ทราบว่าเพื่อเอาใจลูกค้าคนไทยมากไปหรือเปล่า) มีเพียงมื้อเดียวที่เป็นอาหารจีนแบบยูนนานคือหม้อไฟขนาดใหญ่ถึงใหญ่มาก...แต่กระนั้น ความซุกซนของเราๆ ก็ทำให้เที่ยวไปซอกแซกหาอะไรๆ ตามถนนสู่กันกินอยู่ดี เพราะการเดินทางครั้งนี้เรามาเพื่อที่จะมาหาอะไรที่ต่างออกไปจากที่เคยเจอเป็นประจำ อย่างน้อยผมก็มียาแก้ท้องเสียเตรียมไว้ (แต่ไม่ยักได้ใช้สักครั้ง) อาหารข้างถนนมื้อแรกๆ ที่ชวนกันกินก็คือข้าวกั้นจิ๊นที่แม่ค้ายืนขายอยู่หน้าวัดพระเจ้าหลวง/พระมหามุนี (ซึ่งโดยสภาพน่าจะเรียกว่าวิหารมากกว่าวัด เพราะเป็นอาคารหลังเดียวตั้งเป็นวงเวียนอยู่กลางเมือง) รสชาติใช้ได้ เยื้องๆ ไปหน่อยนั้นเป็นข้าวหลาม ขายอยู่ ๒ เจ้า ที่ถูกปากเจ้าหนึ่งแต่อีกเจ้าไม่ถูกปากเพราะคนหนึ่งใส่กะทิ อีกคนไม่ใส่ ดูแล้วใส่ถั่วเหมือนกัน ขายกระบอกละซาวบาท จัดว่าบอกผ่านไปเยอะเหมือนกัน...นอกนั้นไปเป็นร้านชำซึ่งขายขนมและน้ำดื่ม รวมทั้งของใช้กระจุกกระจิกภายในครัวเรือน และร้านขายโรตี+ขนมแขก แต่จำได้ว่าไม่ได้ชิมเพราะเล่นข้าวหลามไปแล้ว...เดี๋ยวจะจุกตายเสียก่อน...



...ข้าวหลามสองเจ้า คนใกล้ไม่ใส่กะทิ ถ้าอยากกินเหมือนกินที่บ้านเรา ต้องเดินต่อไปสักสิบเมตร...


...โรตีรสดีแผ่นใหม่ แผ่นหญ่ายๆ ส่ายข่ายส่ายโนม...นะนายจ๋า...


...คนเชียงตุงมีอะไรๆ กินกันหลายอย่าง แต่ไม่ได้ถูกนำมาสาธิตเป็นสำรับโชว์แบบที่เราเจอในสิบสองปันนา กระทั่งอาหารพม่าเองก็ไม่ถูกนำเสนอในเชิงท่องเที่ยวให้เราเห็น ทั้งๆ ที่การจัดสำรับอาหารในเชิงสาธิตนั้นเป็นทุนอย่างหนึ่งที่สามารถใช้นำเสนอเอกลักษณ์ของเมืองได้ ตอนที่อยู่เชียงรายเคยกินขนมเส้นน้ำคั่ว (เป็นขนมจีน ราดหมูสับผัดกับมะเขือเทศกับเครื่องอีกนิดหน่อย พอกรุ่นๆ หน้าตาเหมือนน้ำพริกอ่อง แต่ไม่ยักเผ็ดแล้วใส่ยอดถั่วลันเตาก่อนราดซุปร้อนจัดๆ) แม่ค้าบอกว่าสูตรจริงๆ มีทีเชียงตุง แต่ถ้าตามหาแถวแม่สายก็คงจะพอมีให้กินอยู่บ้าง...มาเชียงตุงงวดนี้ก็หมายใจว่าจะมาลองกินต้นตำรับ แต่ก็อด เพราะ ไม่รู้จะไปตามกินที่ไหน เนื่องจากไม่มีรายการในทัวร์...ถ้าผู้ประกอบการผ่านมาแล้วเผลออ่านเข้าก็น่าจะลองจัดอะไรๆ ทำนอง exotic food ที่เป็นเมนูสาธิตให้ลูกค้าของท่านบ้าง การเที่ยวนั้นน่าจะมีอรรถรสมากขึ้น มีอยู่ช่วงหนึ่งไปที่วัดสิงห์ขณะที่ธุลูงเจ้าอาวาสกำลังจะฉันจังหัน แล้วท่านปลีกตัวมารับแจก ซึ่งก็คือพวกเราก่อน สำรับของท่านจึงยังดูใหม่ๆ เราก็เลยแย่งกันถ่ายภาพกันใหญ่...


...สำรับจังหันของธุลุง...


...การไปตลาดอาจเป็นหนทางที่ดีที่สุดที่เราจะได้พบอาหารที่คนที่นั่นเขารับประทานกัน ในเช้าสุดท้ายที่เชียงตุงนั้นเราไปที่กาดหลวงเชียงตุงกันเท่าที่จะเช้าได้ แต่ก็อาจจะดูว่าสายไปสักหน่อยสำหรับการสวมวิญญาณพระยาน้อยชมตลาด เคราะห์ดีที่ตลาดยังไม่วาย เลยยังพอเดินเที่ยวชมอะไรๆ ได้บ้าง ชาวคณะเราบางท่านกินมื้อเช้าของโรงแรมเพียงเล็กน้อย เพื่อที่จะมาทำคะแนนในตลาด ซึ่งก็มีของให้กินเยอะ แต่ก็จะเลือกเฉพาะของที่ทำร้อนๆ ใหม่ๆ ซึ่งก็ไม่พ้นของทอดๆ ที่กินได้หน่อยก็ต้องหยุด เพราะยังต้องนั่งรถกันอีกไกล ยิ่งกินอะไรมันๆ เข้าไปมากจะเมารถง่ายขึ้น ที่ไม่ได้แวะกินคือโรตีโอ่งที่ปากทางเข้าตลาด เพราะเราคิดว่าตลาดมันกว้างแล้วเกรงจะเดินไม่ทั่ว ก็เลยอดๆ ไปก่อน ที่สุดก็เลยอดจริงๆ...




...โรตีโอ่ง...


...ของกินอร่อยๆ สนุกๆ ใช่ว่าจะมีแต่ในเมือง ออกมาทางนอก ที่บ้านปางควายก็มีของกินร้อนๆ อร่อยๆ (คือถูกปากเรา) อยู่เจ้าหนึ่ง เขาเรียกข้าวซอยน้อยหรืออะไรสักอย่างหนึ่งก็จำไม่ใคร่ได้เสียแล้ว แม่ค้าปลูกเพิงริมถนนหน้าบ้าน แล้วตั้งเตานึ่งทำนองข้าวเกรียบปากหม้อบ้านเรา มีพิมพ์แสตนเลสเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ ๗-๘ นิ้ว ตักแป้งข้าวเจ้าลงกลิ้งๆ พอเหลือติดพิมพ์ขึ้นตั้งบนหม้อนึ่ง คะเนพอแป้งสุกก็เอาเครื่องลงซึ่งเท่าที่สังเกตดูก็มีผักเป็นส่วนมาก เอาน้ำตาลลง ตามด้วยพริกป่น ซีอิ๊วดำ แล้วก็เอาไม้งัดแป้งด้านหนึ่งขึ้นม้วนๆ แล้วเทลงจาน ตัดเป็นท่อนพอคำ ก็กินกันอร่อยไม่รู้แล้ว...เลยปางควายมาถึงปางล้อมีของเด็ดของดีอยู่ตรงนั้นอย่างหนึ่งคือไข่เยี่ยวม้า ไข่เยี่ยวม้าทางนี้มีเนื้อไข่ขาวออกสีส้มๆใสๆ ไข่แดงสีเหลืองแก่ๆ หม่นๆ คล้ายไข่แดงของไข่เค็มชนิดดองเกลือบ้านเรา กรุบๆ ทำยำกินกับข้าวต้มร้อนๆ ท่าจะเข้ากันดี...


...ของกินอร่อยๆ ริมทางที่บ้านปางควาย...


...นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า...หากมีโอกาสได้ไปอีก คงต้องตกลงเรื่องอาหารกันเสียแต่เนิ่นๆ...


...จบเรื่องกินแล้ว คราวถัดไปจะเป็นเรื่องอะไร โปรดคอยตามพิจารณาดูนะครับ นึกอะไรออกก็จะเขียนให้อ่านกันเร็วๆ นี้ครับ เพราะตอนนี้ต้องออกเรื่องอินเดียกับสิบสองปันนาแล้วครับ ไม่งั้นจะลืมไปเสียก่อน... สวัสดีครับ...
.