วันศุกร์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551

จับเรื่องเล่าเอามาเรียง...จากเชียงตุง (๒)

ทัศนียภาพรายทางที่เก็บมาได้ระหว่างอยู่บนรถ จนใจว่าไม่สามารถบอกให้คนขับหยุดได้ เกรงใจสมาชิกผู้ร่วมทาง เลยต้องยื่นมือออกไปเก็บภาพแทน ภาพจึงดูเบลอๆ อยู่บ้าง



เราออกจากด่านแล้วแวะรับน้ำดื่มและขนมสำหรับดื่มและกินระหว่างทางที่ร้านโชห่วยแห่งหนึ่งในตลาดท่าล้อ ที่ซึ่งชาวเรามักข้ามฝั่งไปซื้อหาสินค้านานาชนิดอยู่บ่อยครั้ง ก่อนนั่งรถไปตามถนนที่ผ่านการใช้งานอย่างสมบุกสมบันมายาวนาน ออกจากตัวเมืองท่าขี้เหล็ก ซึ่งพี่หลุยบอกกับเราว่า เพิ่งยกฐานะเป็นจังหวัดหนึ่งของรัฐฉานตะวันออกได้ไม่นานมานี้ เพราะเป็นพื้นที่หนึ่งซึ่งมีเงินหมุนเวียนอยู่มาก ชาวคณะเราต่างส่งสายตาออกไปภายนอก เพราะไม่ใคร่จะมีใครได้ออกมาไกลกว่าตลาดท่าล้อ ก็พากันตื่นตาตื่นใจกับสิ่งที่เห็นภายนอก ทั้งตลาด ผู้คน อาคารบ้านเรือน วัดวาอาราม ท่ารถ และสนามบิน ซึ่งใช้สำหรับเดินทางภายในประเทศทั้งสิ้น
.
มองๆ ดูแล้ว บ้านเมืองตามรายทางนั้นก็คล้ายๆ กับอำเภอรอบนอกของเชียงรายนี่เอง มีถนนหลักขนาดความกว้างสองช่องจราจร ซึ่งนานๆ ครั้งจะมีรถขับสวนมา พ้นจากตลาดท่าล้อแล้วก็ไม่มีตึกสูงเลย อย่างดีก็เป็นบ้านสองถึงสามชั้น บางหลังเป็นตึกครึ่งไม้ บางหลังเป็นบ้านตึกอย่างดีสีสันสดใส เราเริ่มสัมผัสได้ถึงบรรยากาศ วิถีชีวิตแบบเรียบง่ายของชาวบ้านร้านถิ่น เสียงของพี่หลุยแว่วมาว่า เวลาในประเทศพม่าจะช้ากว่าเมืองไทยราวสามสิบนาที แต่เราไม่จำเป็นต้องปรับนาฬิกาตาม เพราะเราจะนัดหมายกันเป็นเวลาประเทศไทย.....ทำให้ตัวผมเองเริ่มรู้สึกว่า นาฬิกาของเรากับนาฬิกาของคนที่นั่นเดินไม่เหมือนกัน
.
นาฬิกาของเรานั้นเดินเป็นวงกลม ที่หมุนเร็ว และเดินซ้ำไปซ้ำมาบนรอยเดิม เริ่มต้นแต่ละวันด้วยความรีบเร่ง และไม่ได้ใส่ใจรายละเอียดในการดำเนินชีวิตมากนัก สักแต่ว่าทำกิจวัตรประจำวันให้เสร็จๆ ไป ระหว่างวันก็วุ่นวนอยู่กับกิจการงานในหน้าที่บ้าง เสียเวลาไปกับเรื่องไม่เป็นเรื่องบ้าง จบวันหนึ่งๆ ไปด้วยความรู้สึกกึ่งล้ากึ่งขี้เกียจ แล้ววันรุ่งขึ้นก็กลับมาเป็นเหมือนเดิมอีก

.

ส่วนนาฬิกาของคนที่นั่น ก็อาจจะเป็นวงเหมือนกัน แต่คงจะมีขนาดใหญ่กว่ามาก ค่อยๆ เดินอย่างระมัดระวัง และมีเวลาใส่ใจกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ และความรื่นรมย์ในชีวิต ซึ่งคนที่หมกมุ่นอยู่กับความสับสนวุ่นวายในสังคมเมืองอาจมองไม่เห็น

................................................................

ตอบคำถามนะครับ

.

การเดินทางไปเยี่ยมเมืองเชียงตุงนั้น ถ้าเราเป็นนักศึกษาประวัติศาสตร์ หรือผู้สนใจสถาปัตยกรรม ศิลปะ และเรื่องของวิถีชีวิตควรจะมีเวลาอยู่ที่นั่นสักสัปดาห์หนึ่ง จะได้อะไรกลับมาอีกเยอะ แต่ถ้าเราไม่ได้ดื่มด่ำกับมันมากนัก หรือเป็นนักท่องเที่ยวแบบทัวร์ชะโงก ก็ซื้อบริการจากบริษัทนำเที่ยวไปเลยครับ รายการนำเที่ยวตามที่ตกลงกันปัจจุบันเท่าที่ทราบจะอยู่ที่ สองคืนสามวันที่โรงแรมชั้นหนึ่งของที่นั่น+ ค่าเดินทาง+อาหารอย่างดี+มัคคุเทศก์ ประมาณ 6,000 บาทต่อคนครับ (ยังไม่รวมทิปให้มัคคุเทศก์ครับ คราวที่ผมไปนี้ เขาบริการดีจนเราเกรงใจเลย...) ถ้าจะเพิ่มเวลาก็ต้องตกลงกับบริษัทเอง เพราะตามกฎหมายแล้ว เราสามารถอยู่ชื่นชมกับความสวยงามที่นั่นได้ถึง 14 วันโดยไม่ต้องทำวีซ่าครับ

.

หรือถ้าจะไปแบบแบ็กแพ็ค ก็ต้องหาทางจองโรงแรมเอง ค่าที่พักนี้ไม่ทราบว่าเท่าไรนะครับ แล้วขึ้นรถจากท่าขี้เหล็กเข้าเชียงตุง หากเป็นรถโดยสาร (ต้องนั่งรถรับจ้างจากหน้าด่านไปท่ารถประมาณ 3 กม.) ค่าโดยสารจะอยู่ในราว 350 บาทต่อคน (ไม่ทราบราคาตั๋วไปกลับนะครับ) และอาจต้องเพิ่มค่ารถรับจ้างอีกนิดหน่อย หากเหมารถขาวมาก็อาจจะอีกเรื่องหนึ่ง อันนี้ต้องต่อรองราคาเองครับ การดำเนินการเกี่ยวกับพิธีการผ่านแดนคงต้องคุยกับคนที่เขามีประสบการณ์ตรงจะดีกว่าครับ อาหารการกินที่นั่นหายห่วงครับ หากินได้ทั้งวันในราคาที่เรารับได้ เลือกเอาที่เขาทำใหม่ๆ ร้อนๆ นั่นละครับกีที่สุด ข้อแนะนำสำคัญคือ พยายามแลกธนบัตรใบละ 20 บาท และเหรียญย่อยๆ ติดกระเป๋าไว้หน่อยก็ดีครับ ซื้อหาสินค้าเล็กๆ น้อยๆ ได้สะดวก แต่ถ้าต้องการซื้อของที่มีราคาค่างวดสูง พกใบใหญ่ๆ ไว้ก็ไม่มีปัญหาครับ พ่อค้าแม่ขายที่นั่นพอจะฟังภาษาไทยรู้เรื่องเพราะที่นั่นเขาดูโทรทัศน์บ้านเราด้วยครับ

.

1 ความคิดเห็น:

Master กล่าวว่า...

สวัสดีคับอาจารย์

ถ้าพวกผมจะไปที่เชียงตุงต้องมีงบประมาณราวๆคนละกี่บาทคับ

แล้วถ้าไม่ได้ไปรถส่วนตัวต้องทำยังไง

อีกข้อครับ...ที่พักอาหารการกินเป็นยังไงบ้าง ควรใช้เวลาที่นั่นประมาณกี่วัน ขอบคุณครับ