น้อง "ศรีษะเกษ" ที่พาเราบินตรงจากสุวรรณภูมิ ยืนสงบนิ่งอยู่ ณ รันเวย์เมืองคยา
....ขณะที่เรานั่งรอเวลาอยู่นั้น คุณสจ๊วตท่านหนึ่ง ที่บริการพวกเราบนเครื่องก็นำถุงกระดาษใบหนึ่งมาให้ ภายในบรรจุไว้ด้วยน้ำเต้าหู้สำเร็จรูปตรานางพยาบาลสองขวดพร้อมหลอดดูดมาให้ บอกว่าลูกศิษย์ที่ฝึกงานอยู่ที่สุวรรณภูมิที่แวะเข้ามาทักทายกันก่อนเดินทางฝากมาเทคแคร์ ครั้นจะให้ตั้งแต่เครื่องออกก็เกรงว่าจะเกินหน้าเกินตาผู้โดยสารท่านอื่น เลยบรรจงเอาลงถุงกระดาษแช่ไว้ในตู้เย็น แล้วนำมามอบให้ตอนจะลงเครื่องไว้เป็นเสบียงเบื้องต้นเมื่อต้องผจญภัยในแดนภารตะ เราก็รับไว้ด้วยน้ำใจสำนึกขอบคุณ แต่อารมณ์เวลานั้นไม่ได้นึกอยากกินอะไร จึงหมายใจว่าเมื่อถึงโรงแรมที่พุทธคยาแล้วก็จะรีบเอาเข้าตู้แช่ทันทีเพื่อนำไปถวายแก่พระภิกษุที่มาปฏิบัติธรรม ณ พระมหาวิหารในวันรุ่งขึ้น ในใจก็นึกขอให้ลูกศิษย์คนนั้น และคุณสจ๊วตที่เราเองก็จำชื่อเขาไม่ได้ จงมีสิทธิ์มีส่วนในกุศลกรรมนี้ เหมือนๆ กันกับเราด้วยก็แล้วกัน...ว่าแล้วก็ร่ำลากันลงจากเครื่อง...ทุกคนเดินตามเส้นสีเหลืองนี้เข้าไปเพื่อทำพิธีการตรวจคนเข้าเมืองในท่าอากาศยาน
ด้านหน้าท่าอากาศยานเมืองคยา ที่ว่างๆ โล่งๆ มีแต่พี่น้องแท็กซี่ที่มารอลูกค้า
...ด้วยความที่เรามีสัมภาระไม่มากนัก ทำให้เราผ่านการตรวจคนเข้าเมืองมาได้ค่อนข้างเร็ว เจ้าหน้าที่เขาก็มีอัธยาศัยน้ำใจไมตรีดี ซึ่งดูเหมือนว่าในวันที่เราไปถึงนั้นคงมีเพียงเที่ยวบินเดียวที่ลงจอด ท่าอากาศยานจึงเงียบสงบราวกับว่าไม่มีใครอยู่แถวนั้น เราเดินผ่านโถงกลางที่มีพระพุทธรูปขนาดพอๆ กันกับพระประธานในโบสถ์องค์หนึ่ง ยิ่งทำให้รู้สึกว่าอาคารแห่งนี้เหมือนกับสถานปฏิบัติธรรมที่ไหนสักแห่ง จากนั้นก็ไม่รอช้า รีบว่าแท็กซี่เข้าเมืองก่อน เพื่อไปจัดการเรื่องเปลี่ยนตั๋วรถไฟ ที่จองกันไว้ก่อนมาแล้วแต่เราต้องเปลี่ยนกำหนดเดินทาง สนนราคาค่าแท็กซี่เป็นอย่างไรก็จำได้ไม่ถนัดนัก พอนึกออกเพียงว่าบอกผ่านไปมากสำหรับเรา แต่พอนึกได้ว่านี่มันต่างบ้านต่างเมือง และเราก็มาในฐานะนักท่องเที่ยว ก็เลยไม่ถือ แต่เราก็พยายามต่อรองให้เยอะว่าให้รวมทั้งเข้าเมืองและออกไปที่พุทธคยาด้วย หากเอาท่าอากาศยานเป็นจุดศูนย์กลาง เข้าเมืองต้องออกไปทางซ้าย ส่วนพุทธคยาต้องเลี้ยวขวา ประมาณนี้ คะเนจากระยะทางที่จะต้องเดินทางกันแล้ว จ่ายค่าแท็กซี่ในราคานั้นก็นับว่าคุ้มแล้ว...
...แท็กซี่แบบลุยๆ ที่หาได้ทั่วไปตามท่าอากาศยานและสถานีรถไฟ...
...น้องโชเฟอร์ใจดีพาเราซอกแซกเข้าสู่ตัวเมืองคยาอย่างรวดเร็ว ถึงแม้ว่าจะมีผู้ร่วมทางจำนวนมาก เพราะถนนที่ใช้กันอยู่นั้นเป็นแบบสองช่องทางจราจร ทั้งคน ทั้งรถเล็กรถใหญ่ ทั้งเกวียน สามล้อ มอเตอร์ไซคล์ และวัว!! ต่างก็สัญจรไปบนทางสายเดียวกัน ระหว่างทางนั้นเราก็เห็นอะไรต่ออะไรมากมาย ซึ่งทำให้เราแจ้งใจได้ทันทีว่าทำไม่ที่นี่ถึงมีศาสดาเจ้าลัทธิมากมายนัก เพราะว่าทุกข์มันมีให้เห็นอยู่ทั่วไปจริงๆ (มีทุกข์มากขึ้นอีกนิดตรงที่น้องแกพยายามที่จะเอนเตอร์เทนเราด้วยการเปิดเทปเพลงแขกประกอบการโขยกเขย่าของรถที่วิ่งไปตามถนนที่ค่อนข้างจะจอแจเคล้าไปกับเสียงแตรที่เกิดขึ้นตลอดเวลา) พึงทราบว่าที่อินเดีย (เท่าที่เห็นมาในทริปนี้) การกดแตรสัญญาณนับว่าเป็นภาษาหนึ่งที่ใช้ในการสื่อสารเหมือนมนุษย์พูดกัน ผู้คนที่สัญจรไปมากดแตรให้กันก็จริง แต่ก็ไม่ได้กดแบบอารมณ์เสียเหมือนในบ้านเราที่กดไปก็สบถไป...ที่สุดแล้วก็ถึงสถานีรถไฟเมืองคยา พี่ที่ไปด้วยรับที่จะไปคุยกับคนออกตั๋วที่เคาน์เตอร์ ค่าที่เป็นผู้สั่งจองมา ซึ่งการจองตั๋วรถไฟในคราวนั้น เราฝากเอเจนซี่จองและนำตั๋วกลับมาให้จากอินเดียส่งมาถึงเชียงรายโดยทางไปรษณีย์ ซึ่งพี่คนนี้แกเป็นคนจัดการทั้งหมด เลยต้องเข้าไปคุยเอง...
...บรรยากาศการรอรถไฟและรอญาติๆ ที่หน้าสถานีรถไฟเมืองคยา...
...เสร็จธุระเรื่องตั๋วรถไฟแล้ว เหลือบมองนาฬิกาก็ใกล้จะหกโมงเย็นแล้ว เรายังคงต้องรีบออกจากเมืองไปเข้าที่พักที่พุทธคยา โชเฟอร์คนเดิมก็พาเราออกจากเมืองไปอย่างรวดเร็วไม่แพ้ขามา สายตาของคณะเราเริ่มชินกับภาพของอินเดียที่ไม่ต่างจากที่เราเตรียมข้อมูลกันมาก่อนมากนัก เพลงเริ่มเบาลง เพราะเราต้องตกลงให้เขามารับเราไปส่งสถานีรถไฟอีกรอบหนึ่งในอีกสองวันเพื่อเตรียมเดินทางต่อไปที่สารนาถและพาราณสี ซึ่งก็มีการแลกเบอร์โทรศัพท์กันเรียบร้อยก่อนจาก...
...พระมหาโพธิวิหารในยามค่ำ...
...ราวทุ่มเศษเราเดินทางมาถึงโรงแรมที่ได้จองไว้คือโรงแรมมหามายาซึ่งอยู่ตรงข้ามกันกับพระมหาวิหารพอดี เป็นโรงแรมขนาดเล็กแบบทาวน์เฮ้าส์ยาวๆ หน้ากว้างประมาณ ๓ คูหา สูงราว ๓-๔ ชั้น ซึ่งเดินจากโรงแรมไม่ถึงรอบสนามฟุตบอลก็ถึงประตูใหญ่พระมหาโพธิวิหาร วันนั้นเราเช็คอินเสร็จแล้วจึงออกไปสำรวจเบื้องต้นเพื่อดูถนนหนทางและของกินบางอย่างด้านนอก ก่อนที่จะกลับมาที่ห้องพักพร้อมส้มและแอ็ปเปิล อย่างละหนึ่งกิโล ซึ่งเราจะใช้มันล้างปากหลังจากจัดการกับบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่พกพาไปด้วย จากนั้นก็อาบน้ำนอนตามอัธยาศัย เตรียมตัวไว้สำหรับโปรแกรมวันรุ่งขึ้น...
*****************************************
...หมายเหตุ ภาพทั้งหมดนี้ Ch@ros ฉายเอง...
.
9 ความคิดเห็น:
โอ้..โห อาจารย์นี่ก็คนใหญ่คนโตเหมือนกัน
นะคะเนี่ย
ว่าแต่ที่สนามบินเค้ามีมาสวดต้อนรับอย่างนี้
เลยหรอคะ โห..บ้านเค้านี่ถิ่นพระพุทธเจ้ามาก
อยากไปแอ่วตวยเลยเจ้า
1...ไม่ใช่สวดสดครับ เป็นเสียงจากเครื่องเล่น CD เปิดเพื่อให้รู้ว่ามาถึงเมืองพระพุทธศาสนาแล้ว
2...ใค่ไปแอ่วตวยก่คงต้องท่าแหมจ้าดเมินนะครับ จะเอาแฮงตี้เหลือไปแอ่วตางอื่นก่อนครับ
3...ขอบคุณครับ มืดๆ ดึกๆ ไม่มีอะไรทำก็มานั่งอัพเดทบ้างอะไรบ้างตามเรื่อง
ไว้มีเงินสักก้อนก็อยากไปด้วยเหมือนกันค่ะต่างแดน เกิดมาไม่รู้จะมีโอกาสไหม อาจารย์ยิ่งมีโอกาสกว่ารู้ศิษย์ แต่ลูกศิษย์ก็อยากทำตามอาจารย์
อาจารย์คะทำไมการเมืองมันยากจริงๆคะ
หรือว่าหนู อังกฤษไม่แข็งแรงพอ ไม่เข้าใจเลยค่ะ
c
(ให้เกรด c บ้างนะ)
ไปแล้วได้อะไร ไม่ไปแล้วได้อะไร
(ถ้ามีศรัทธาเหมือนกันทั้งสอง)
อะไรที่ว่าเหมือนแล้วอะไรคือความต่าง
ปล.วันนี้งานยุ่งครับ อ่านแบบรีบๆๆ เขียนมาให้อ่านอีกนะค่ะ
Where is Charosville?
แสดงความคิดเห็น