วันพุธที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2553
Environment and Development Midterm Score
วันพุธที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2553
Cultural Studies Midterm Score 1-2010
วันศุกร์ที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2553
...ความทรงจำในการข้ามปีที่อินเดีย (๒)...
น้อง "ศรีษะเกษ" ที่พาเราบินตรงจากสุวรรณภูมิ ยืนสงบนิ่งอยู่ ณ รันเวย์เมืองคยา
....ขณะที่เรานั่งรอเวลาอยู่นั้น คุณสจ๊วตท่านหนึ่ง ที่บริการพวกเราบนเครื่องก็นำถุงกระดาษใบหนึ่งมาให้ ภายในบรรจุไว้ด้วยน้ำเต้าหู้สำเร็จรูปตรานางพยาบาลสองขวดพร้อมหลอดดูดมาให้ บอกว่าลูกศิษย์ที่ฝึกงานอยู่ที่สุวรรณภูมิที่แวะเข้ามาทักทายกันก่อนเดินทางฝากมาเทคแคร์ ครั้นจะให้ตั้งแต่เครื่องออกก็เกรงว่าจะเกินหน้าเกินตาผู้โดยสารท่านอื่น เลยบรรจงเอาลงถุงกระดาษแช่ไว้ในตู้เย็น แล้วนำมามอบให้ตอนจะลงเครื่องไว้เป็นเสบียงเบื้องต้นเมื่อต้องผจญภัยในแดนภารตะ เราก็รับไว้ด้วยน้ำใจสำนึกขอบคุณ แต่อารมณ์เวลานั้นไม่ได้นึกอยากกินอะไร จึงหมายใจว่าเมื่อถึงโรงแรมที่พุทธคยาแล้วก็จะรีบเอาเข้าตู้แช่ทันทีเพื่อนำไปถวายแก่พระภิกษุที่มาปฏิบัติธรรม ณ พระมหาวิหารในวันรุ่งขึ้น ในใจก็นึกขอให้ลูกศิษย์คนนั้น และคุณสจ๊วตที่เราเองก็จำชื่อเขาไม่ได้ จงมีสิทธิ์มีส่วนในกุศลกรรมนี้ เหมือนๆ กันกับเราด้วยก็แล้วกัน...ว่าแล้วก็ร่ำลากันลงจากเครื่อง...ทุกคนเดินตามเส้นสีเหลืองนี้เข้าไปเพื่อทำพิธีการตรวจคนเข้าเมืองในท่าอากาศยาน
ด้านหน้าท่าอากาศยานเมืองคยา ที่ว่างๆ โล่งๆ มีแต่พี่น้องแท็กซี่ที่มารอลูกค้า
...ด้วยความที่เรามีสัมภาระไม่มากนัก ทำให้เราผ่านการตรวจคนเข้าเมืองมาได้ค่อนข้างเร็ว เจ้าหน้าที่เขาก็มีอัธยาศัยน้ำใจไมตรีดี ซึ่งดูเหมือนว่าในวันที่เราไปถึงนั้นคงมีเพียงเที่ยวบินเดียวที่ลงจอด ท่าอากาศยานจึงเงียบสงบราวกับว่าไม่มีใครอยู่แถวนั้น เราเดินผ่านโถงกลางที่มีพระพุทธรูปขนาดพอๆ กันกับพระประธานในโบสถ์องค์หนึ่ง ยิ่งทำให้รู้สึกว่าอาคารแห่งนี้เหมือนกับสถานปฏิบัติธรรมที่ไหนสักแห่ง จากนั้นก็ไม่รอช้า รีบว่าแท็กซี่เข้าเมืองก่อน เพื่อไปจัดการเรื่องเปลี่ยนตั๋วรถไฟ ที่จองกันไว้ก่อนมาแล้วแต่เราต้องเปลี่ยนกำหนดเดินทาง สนนราคาค่าแท็กซี่เป็นอย่างไรก็จำได้ไม่ถนัดนัก พอนึกออกเพียงว่าบอกผ่านไปมากสำหรับเรา แต่พอนึกได้ว่านี่มันต่างบ้านต่างเมือง และเราก็มาในฐานะนักท่องเที่ยว ก็เลยไม่ถือ แต่เราก็พยายามต่อรองให้เยอะว่าให้รวมทั้งเข้าเมืองและออกไปที่พุทธคยาด้วย หากเอาท่าอากาศยานเป็นจุดศูนย์กลาง เข้าเมืองต้องออกไปทางซ้าย ส่วนพุทธคยาต้องเลี้ยวขวา ประมาณนี้ คะเนจากระยะทางที่จะต้องเดินทางกันแล้ว จ่ายค่าแท็กซี่ในราคานั้นก็นับว่าคุ้มแล้ว...
...แท็กซี่แบบลุยๆ ที่หาได้ทั่วไปตามท่าอากาศยานและสถานีรถไฟ...
...น้องโชเฟอร์ใจดีพาเราซอกแซกเข้าสู่ตัวเมืองคยาอย่างรวดเร็ว ถึงแม้ว่าจะมีผู้ร่วมทางจำนวนมาก เพราะถนนที่ใช้กันอยู่นั้นเป็นแบบสองช่องทางจราจร ทั้งคน ทั้งรถเล็กรถใหญ่ ทั้งเกวียน สามล้อ มอเตอร์ไซคล์ และวัว!! ต่างก็สัญจรไปบนทางสายเดียวกัน ระหว่างทางนั้นเราก็เห็นอะไรต่ออะไรมากมาย ซึ่งทำให้เราแจ้งใจได้ทันทีว่าทำไม่ที่นี่ถึงมีศาสดาเจ้าลัทธิมากมายนัก เพราะว่าทุกข์มันมีให้เห็นอยู่ทั่วไปจริงๆ (มีทุกข์มากขึ้นอีกนิดตรงที่น้องแกพยายามที่จะเอนเตอร์เทนเราด้วยการเปิดเทปเพลงแขกประกอบการโขยกเขย่าของรถที่วิ่งไปตามถนนที่ค่อนข้างจะจอแจเคล้าไปกับเสียงแตรที่เกิดขึ้นตลอดเวลา) พึงทราบว่าที่อินเดีย (เท่าที่เห็นมาในทริปนี้) การกดแตรสัญญาณนับว่าเป็นภาษาหนึ่งที่ใช้ในการสื่อสารเหมือนมนุษย์พูดกัน ผู้คนที่สัญจรไปมากดแตรให้กันก็จริง แต่ก็ไม่ได้กดแบบอารมณ์เสียเหมือนในบ้านเราที่กดไปก็สบถไป...ที่สุดแล้วก็ถึงสถานีรถไฟเมืองคยา พี่ที่ไปด้วยรับที่จะไปคุยกับคนออกตั๋วที่เคาน์เตอร์ ค่าที่เป็นผู้สั่งจองมา ซึ่งการจองตั๋วรถไฟในคราวนั้น เราฝากเอเจนซี่จองและนำตั๋วกลับมาให้จากอินเดียส่งมาถึงเชียงรายโดยทางไปรษณีย์ ซึ่งพี่คนนี้แกเป็นคนจัดการทั้งหมด เลยต้องเข้าไปคุยเอง...
...บรรยากาศการรอรถไฟและรอญาติๆ ที่หน้าสถานีรถไฟเมืองคยา...
...เสร็จธุระเรื่องตั๋วรถไฟแล้ว เหลือบมองนาฬิกาก็ใกล้จะหกโมงเย็นแล้ว เรายังคงต้องรีบออกจากเมืองไปเข้าที่พักที่พุทธคยา โชเฟอร์คนเดิมก็พาเราออกจากเมืองไปอย่างรวดเร็วไม่แพ้ขามา สายตาของคณะเราเริ่มชินกับภาพของอินเดียที่ไม่ต่างจากที่เราเตรียมข้อมูลกันมาก่อนมากนัก เพลงเริ่มเบาลง เพราะเราต้องตกลงให้เขามารับเราไปส่งสถานีรถไฟอีกรอบหนึ่งในอีกสองวันเพื่อเตรียมเดินทางต่อไปที่สารนาถและพาราณสี ซึ่งก็มีการแลกเบอร์โทรศัพท์กันเรียบร้อยก่อนจาก...
...พระมหาโพธิวิหารในยามค่ำ...
...ราวทุ่มเศษเราเดินทางมาถึงโรงแรมที่ได้จองไว้คือโรงแรมมหามายาซึ่งอยู่ตรงข้ามกันกับพระมหาวิหารพอดี เป็นโรงแรมขนาดเล็กแบบทาวน์เฮ้าส์ยาวๆ หน้ากว้างประมาณ ๓ คูหา สูงราว ๓-๔ ชั้น ซึ่งเดินจากโรงแรมไม่ถึงรอบสนามฟุตบอลก็ถึงประตูใหญ่พระมหาโพธิวิหาร วันนั้นเราเช็คอินเสร็จแล้วจึงออกไปสำรวจเบื้องต้นเพื่อดูถนนหนทางและของกินบางอย่างด้านนอก ก่อนที่จะกลับมาที่ห้องพักพร้อมส้มและแอ็ปเปิล อย่างละหนึ่งกิโล ซึ่งเราจะใช้มันล้างปากหลังจากจัดการกับบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่พกพาไปด้วย จากนั้นก็อาบน้ำนอนตามอัธยาศัย เตรียมตัวไว้สำหรับโปรแกรมวันรุ่งขึ้น...
*****************************************
...หมายเหตุ ภาพทั้งหมดนี้ Ch@ros ฉายเอง...
.
วันพฤหัสบดีที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2553
...วันลูกเสือ...
พระบาท มงกุฏเกล้า จอมเมาลี ทรงปรานีก่อเกื้อ ลูกเสือมา
ทรงอุตสาห์ อบรม บ่มนิสัย ให้มีใจรักชาติ ศาสนา
ทรงสั่งสอน สรรพกิจ วิทยา เป็นอาภาผ่องพุทธิ์ วุฒิไกร
ดั่งดวงจัน-... ทราทิตย์ ประสิทธิ์แสง กระจ่างแจ้งแจ่มภพ สบสมัย
พระคุณนี้ จะสถิต สนิทใน ดวงหทัยทวยราษฎร์ ไม่คลาด...เอย
.
.
.
...ไม่มีอะไร แค่คิดถึงวันนี้เมื่อหลายๆ ปีก่อน สมัยยังเป็นลูกเสือ ต้องไปร้องเพลงนี้ตลอดทุกปี...
...ความเยาว์วัยนี้จากเราไปไวจริงๆ...
.
****************************
ลูกเสือมาจากคำว่า SCOUT ซึ่งมีความหมายดังนี้
- S : Sincerity หมายถึง ความจริงใจ มีน้ำใสใจจริงต่อกัน
- C : Courtesy หมายถึง ความสุภาพอ่อนโยน เป็นผู้มีมารยาทดี
- O : Obedience หมายถึง การเชื่อฟัง อ่อนน้อมถ่อมตน อยู่ในโอวาท
- U : Unity หมายถึง ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน รู้รักสามัคคี
- T : Thrifty หมายถึง ความมัธยัสถ์ ใช้ทรัพยากรอย่างประหยัด
...จริงๆ แล้วการเป็นลูกเสือสอนให้เราเป็นสุภาพบุรุษ เป็นสุภาพชน การขาดการเน้นย้ำและหมั่นฝึกฝน ทำให้เราลืมเลือนสิ่งนั้นไปอย่างน่าเสียดาย...
***************************
.
วันเสาร์ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2553
...ความทรงจำในการข้ามปีที่อินเดีย....(๑)
.
...เพราะปรกติแล้ว ช่วงปีใหม่ทั้งสองช่วง (หมายถึงปีใหม่สากลและสงกรานต์) เป็นช่วงเวลาที่มีโอกาสได้อยู่กับครอบครัว แม้ไม่ใคร่ได้พบปะเพื่อนฝูงสมัยวัยละอ่อนแบบที่ใครๆ ทำกัน แต่ก็ไม่เป็นปัญหา แต่สิ่งสำคัญคืออยู่บ้านกับพ่อแม่ให้มากที่สุด เพราะเราอยู่ที่อื่น อยู่กับคนอื่นมาตลอดทั้งปี ก็มีแต่ช่วงนี้เราได้อยู่กับพ่อแม่ที่บ้าน หรือได้ทำกับข้าวกินกันที่บ้านก็นับว่าเป็นเรื่องที่ทำให้สุขใจได้ดีประการหนึ่ง...
.
...ปี่ ๒๕๕๑ นั้นเป็นหนึ่งในน้อยครั้งที่ไป "ข้ามปี" ที่อื่น และที่บ้านเราเขาก็ไม่ได้ไปด้วย...
.
...ที่หมายคราวนี้คือ...พุทธคยาและพาราณสี...
.
.
...เดิมทีชาวคณะเราอันประกอบด้วยพี่ๆ ที่ทำงานสองท่านและผม ตั้งใจกันว่าจะไปกราบพระพุทธเจ้าที่อินเดียถึงสังเวชนียสถานทั้งสี่ตำบล ต่างก็ประชุมวางแผนเรื่องนี้กันมาระยะใหญ่ ก่อนทริปเชียงตุงเสียอีก แต่ที่สุดแล้วสมาชิกก็เหลือเพียงสองคน ที่จะต้อง "แบกแพ็ค" ไปปฏิบัติกิจของศาสนิกชน และปรับลดเป้าหมายลงมาเหลือเพียงพุทธคยา และพาราณสี เนื่องจากเวลาในการเดินทางมีน้อยลง คือลางานเพิ่มจากวันหยุดตามปฏิทินเพิ่มเพียง ๒ วันเพื่อไม่ให้กระทบกับงานมากนัก และในเวลานั้น เมืองไทยเราก็เพิ่งผ่านประสบการณ์สนามบินถูกสั่งปิดมาได้เพียงเล็กน้อย ซึ่งระยะที่เป็นปัญหานั้น เป็นช่วงที่เราได้จองอะไรต่ออะไรไว้ที่อินเดียแล้ว เพื่อให้สามารถดึงเงินที่สูญไปในการจองกลับคืนมาได้บ้าง เราจึงต่อรองและเลื่อนวันเดินทางออกมาเป็นช่วงนี้แทน... การที่เราตัดสินใจตัดที่หมายอื่นออกไปนั้นเพื่อให้ได้แสวงบุญ ณ สถานที่ที่มีความหมายจริงๆ ต่อพุทธศาสนิกชนที่มีเวลาเดินทางจำกัด นั่นคือ สถานที่ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงอุบัติ คือ ตำบลพุทธคยา และสถานที่ซึ่งพระรัตนตรัยอุบัติโดยสมบูรณ์ คือตำบลสารนาถ ชานเมืองพาราณสี...
.
...ไปอินเดียครั้งนี้ก็หมายใจว่าจะได้บุญกลับมาฝากพ่อฝากแม่ที่บ้านบ้าง...เอาไว้ค้นรูปเจอแล้วจะนำมาโพสต์ประกอบเรื่องเล่าที่ค้างไว้ในความคิดเกือบสองปีให้ทุกท่านชมนะครับ...
.
วันจันทร์ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2553
เปิดเทอมอีกแล้ว...
.
.
.
...ดูเหมือนชีวิตจะวนเวียนอยู่ที่เดิมก็จริง แต่พ.ศ.นี้ดูเหมือนว่ามีอะไรใหม่ๆ หลายอย่างผ่านเข้ามาในชีวิตกับเขาเหมือนกัน...
.
...แน่นอนว่าแก่ลง...อันนี้ปรกติ...
.
...ไขว่คว้าหาเพื่อนฝูงมากขึ้นกว่าเดิม จากที่ไม่ค่อยกระตือรือร้นในเรื่องทำนองนี้... (ถึงจะช้าไปหน่อย...แต่ก็สมัคร facebook กับเขาแล้วล่ะ...)
.
...ย้ายที่อยู่...เดินทางมาทำงานนานอีกหน่อย แต่ก็ช่วยปรับนิสัยอะไรบางอย่างของเรามากขึ้น เช่นตื่นเช้าขึ้น (ซึ่งสอดคล้องกับข้อแรก คือแก่ลง ^^')...
.
...บางอย่างในชีวิตเริ่มเป็นระเบียบมากขึ้น ถึงแม้จะไม่มาก แต่ก็ O.K. อยู่...
.
...หวังว่าจะมีอะไรดีๆ ผ่านเข้ามาในชีวิตมากขึ้นนะ...
.
วันเสาร์ที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2552
...จับเรื่องเล่า เอามาเรียง จากเชียงตุง (๕)...
...นี่น่าจะเป็นคาราวานเจ้าของดอกกุหลาบ...
...ขบวนน้อยๆ ของเราผ่านด่านไปอย่างแช่มช้า ก่อนจะเร่งเครื่องอย่างรวดเร็วหลังผ่านตัวตลาดมาแล้ว เพราะนัดหมายกับร้านอาหารที่เมืองเชียงตุงเอาไว้ แม้ว่ารถจะวิ่งเร็วก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการทอดตาทอดใจไปกับทัศนียภาพระหว่างทางนัก ตัวผมเองอยู่ข้างจะโชคดีเพราะไม่ใคร่เมารถ การหาความเพลิดเพลินระหว่างเดินทางจึงทำได้ไม่ลำบากมากนัก...
...สำรับจังหันของธุลุง...
...การไปตลาดอาจเป็นหนทางที่ดีที่สุดที่เราจะได้พบอาหารที่คนที่นั่นเขารับประทานกัน ในเช้าสุดท้ายที่เชียงตุงนั้นเราไปที่กาดหลวงเชียงตุงกันเท่าที่จะเช้าได้ แต่ก็อาจจะดูว่าสายไปสักหน่อยสำหรับการสวมวิญญาณพระยาน้อยชมตลาด เคราะห์ดีที่ตลาดยังไม่วาย เลยยังพอเดินเที่ยวชมอะไรๆ ได้บ้าง ชาวคณะเราบางท่านกินมื้อเช้าของโรงแรมเพียงเล็กน้อย เพื่อที่จะมาทำคะแนนในตลาด ซึ่งก็มีของให้กินเยอะ แต่ก็จะเลือกเฉพาะของที่ทำร้อนๆ ใหม่ๆ ซึ่งก็ไม่พ้นของทอดๆ ที่กินได้หน่อยก็ต้องหยุด เพราะยังต้องนั่งรถกันอีกไกล ยิ่งกินอะไรมันๆ เข้าไปมากจะเมารถง่ายขึ้น ที่ไม่ได้แวะกินคือโรตีโอ่งที่ปากทางเข้าตลาด เพราะเราคิดว่าตลาดมันกว้างแล้วเกรงจะเดินไม่ทั่ว ก็เลยอดๆ ไปก่อน ที่สุดก็เลยอดจริงๆ...
...โรตีโอ่ง...
...ของกินอร่อยๆ สนุกๆ ใช่ว่าจะมีแต่ในเมือง ออกมาทางนอก ที่บ้านปางควายก็มีของกินร้อนๆ อร่อยๆ (คือถูกปากเรา) อยู่เจ้าหนึ่ง เขาเรียกข้าวซอยน้อยหรืออะไรสักอย่างหนึ่งก็จำไม่ใคร่ได้เสียแล้ว แม่ค้าปลูกเพิงริมถนนหน้าบ้าน แล้วตั้งเตานึ่งทำนองข้าวเกรียบปากหม้อบ้านเรา มีพิมพ์แสตนเลสเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ ๗-๘ นิ้ว ตักแป้งข้าวเจ้าลงกลิ้งๆ พอเหลือติดพิมพ์ขึ้นตั้งบนหม้อนึ่ง คะเนพอแป้งสุกก็เอาเครื่องลงซึ่งเท่าที่สังเกตดูก็มีผักเป็นส่วนมาก เอาน้ำตาลลง ตามด้วยพริกป่น ซีอิ๊วดำ แล้วก็เอาไม้งัดแป้งด้านหนึ่งขึ้นม้วนๆ แล้วเทลงจาน ตัดเป็นท่อนพอคำ ก็กินกันอร่อยไม่รู้แล้ว...เลยปางควายมาถึงปางล้อมีของเด็ดของดีอยู่ตรงนั้นอย่างหนึ่งคือไข่เยี่ยวม้า ไข่เยี่ยวม้าทางนี้มีเนื้อไข่ขาวออกสีส้มๆใสๆ ไข่แดงสีเหลืองแก่ๆ หม่นๆ คล้ายไข่แดงของไข่เค็มชนิดดองเกลือบ้านเรา กรุบๆ ทำยำกินกับข้าวต้มร้อนๆ ท่าจะเข้ากันดี...
...ของกินอร่อยๆ ริมทางที่บ้านปางควาย...
...นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า...หากมีโอกาสได้ไปอีก คงต้องตกลงเรื่องอาหารกันเสียแต่เนิ่นๆ...
...จบเรื่องกินแล้ว คราวถัดไปจะเป็นเรื่องอะไร โปรดคอยตามพิจารณาดูนะครับ นึกอะไรออกก็จะเขียนให้อ่านกันเร็วๆ นี้ครับ เพราะตอนนี้ต้องออกเรื่องอินเดียกับสิบสองปันนาแล้วครับ ไม่งั้นจะลืมไปเสียก่อน... สวัสดีครับ...
.